วัดจอมทอง เชียงใหม่ : Chom Thong Temple, Chiang Mai.


เปรี้ยวย้ายมาอยู่เชียงใหม่ได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ก็เลยถือโอกาสแนะนำบ้านใหม่ให้รู้จัก เปรี้ยวมาเที่ยวช่วงวันหยุดเข้าพรรษาที่ผ่านมาคะ เปรี้ยวเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซด์ แต่ถ้าใครมาเที่ยวเชียงใหม่แล้วอยากเดินทางด้วยรถสาธารณะก็สามารถหารถจอมทองได้ที่ ประตูเมืองเชียงใหม่เป็นรถโดยสารคันสีเหลือง จอมทอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 60 กม. ถ้าใครจะไปเที่ยวดอยอินทานนท์ ก็ต้องผ่านจอมทองแน่นอน เปรี้ยวมาเที่ยววัดพระธาตุศรีจอมทอง คนที่เกิดปีชวด ( ปีหนู ) พระธาตุจอมทองเป็นพระธาตุประจำปีเกิดคะ บริเวณวัดก็ร่มรื่นดี ภายในวิหารเก่าแก่เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัดจอมทอง เป็นวัดเก่าแก่ เพราะสร้างขึ้นราวปีพ.ศ. 218 หรือในหนังสือ Exploring Chiang Mai ระบุไว้ว่าวัดจอมทองสร้างขึ้นราว ค.ศ. 749 (749 AD) ส่วนวิหารนั้นน่าจะสร้างขึ้นราว ค.ศ. 1817 แล้ววัดจอมทองก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสำหรับชาติด้วยนะคะ บรรยากาศในวิหาร มีความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์เลย เพราะรอบตัวจะมองเห็นพระพุทธรูปเก่าๆ ถ้ามีโอกาสลองแวะมานะคะ




ทริปแรกของปีเริ่มที่แม่ฮ่องสอน : Mae Hong Son

พี่นกและพี่วิรัตน์มาตรงตามเวลาที่นัดหมาย 9 โมงเช้า
:)



พวกเราเดินทางไปตามถนนแม่ฮ่องสอน - แม่สะเรียง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.ก็มาถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงขาว หรือ ที่หมู่บ้านแห่งนี้ มีอยู่ทั้งหมด 7-8 หลังคาเรือน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ พี่นก ไกด์ของเราบอกว่า คนกะเหรี่ยงขาว ( white Karen )จะไม่อาศัยอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่เพราะอาศัยการปลูกข้าวไร่ ครอบครัวหนึ่งจะใช้พื้นที่หลายสิบไร่เพื่อปลูกข้าวให้พอกินทั้งปี พอปีนี้ทำเสร็จก็จะเวียนไปหาที่ดินใหม่ แล้วจึงจะวนกลับมาทำที่เดิม ดังนั้นถ้าอาศัยอยู่หลายๆ ครอบครัว ที่ดินทำกินก็จะไม่พอ และนี่คือปัญหาการทำไร่เลื่อนลอย และ ปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นในทุกๆ ปี วันที่เปรี้ยวไปหมอกควันหนามาก มองดูวิวจากภูเขาแทบไม่เห็น ส่วนความเชื่อของคนกะเหรี่ยงขาว คือ เค้าเชื่อว่าเค้าเป็นนกเงือก หรือว่าชะนี กลับชาติมาเกิด ดังนั้นคนกะเหรี่ยงขาวจะไม่ฆ่าสัตว์ทั้งสองอย่างนี้ และจะอยู่แบบผัวเดียวเมียเดียว จะไม่มีการหย่าร้างโดยเด็ดขาด




บ้านมุ่งด้วยใบตองตึง เป็นต้นไม้ที่มีมากทางภาคเหนือเป็นไม้ยืนต้นใบคล้ายใบสักแต่มีความเหนียวมากกว่า ใชังานได้หลายปีเลยทีเดียวคะ


เราเดินมาเยี่ยมบ้านคุณยายคนหนึ่ง คุณยายกำลังอบใบตองให้แห้ง เพื่อเอาไว้มวนบุหรี่ส่วนที่อยู่ในหม้อนั้น เปรี้ยวเห็นคล้ายหัวปลีจะถามว่าคุณยายทำอะไร? แต่ว่าคุณยายก็ไม่เข้าใจภาษาไทยก็เลยได้แต่ยิ้ม





หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปที่หมู่บ้านม้ง ไมโครเวฟ ฮ่าๆ เป็นชื่อหมู่บ้านจริงๆนะคะ อากาศเย็น เราถามพี่นก ไกด์ว่าทำไมชื่อนี้ พี่นกตอบว่าเป็นเพราะที่ยอดเขามีเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์อยู่ หุหุ น่าจะเกี่ยวกัน พวกเราเริ่มเดินรอบๆ หมู่บ้านก็โดนตัวปั้งกัดคะ พี่นกไกด์ของเราก็โดนกัดเหมือนกัน มันคล้ายๆ เหลือบ ลิ้นที่กัดวัว ควาย หุหุ มันกัดเปรี้ยว 4-5 ตัวเป็นจ้ำห้อเลือดแบบว่าชัดเจน พี่นกบอกว่าพยายามอย่าเกา เพราะมันจะบวมมาก คนที่แพ้ อาจป่วยได้ หรือบางทีอาจแค่บวมๆ แต่นานกว่าจะหาย เราพักเรื่องนี้ก่อนมาว่าเรื่องคนม้งต่อดีกว่า คนม้ง หรือ Hmong นั้นจะอาศัยอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ผู้ชายมีเมียได้หลายคน สูงสุดที่หมู่บ้านแห่งนี้ คือ มีเมียถึง 11 คน (แม่เจ้า!! พี่แกจะมีทำไมเยอะแยะเนอะ ไม่เข้าใจ) และจะอาศัยในบ้านหลังเดียวกัน บ้านจะไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไร เค้าจะไม่ค่อยรักษาความสะอาด เพราะทุกคนต้องออกไปทำงาน จนกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เย็นแล้ว บางครอบครัวมีสมาชิกมากถึง 30 - 40 คนเลยนะคะ





ช่วงนี้เป็นช่วงว่างๆ ไม่ค่อยมีงานในไร่ ผู้หญิงหลายคนนั่งปักผ้าไว้ใช้ ถ้าได้เยอะก็เอาไปขายมีพ่อค้ามารับซื้อถึงหมู่บ้านเลย พี่สาวคนนี้แกบอกมา นั่งฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือด้วย ขอบอกๆ





หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยัง หมู่บ้านกะเหรี่ยงคนยาว กับ กะเหรี่ยงหูยาว บ้านในสอย คนที่หมู่บ้านนี้อพยพมาจากประเทศพม่า ในช่วงที่มีสงครามตามแนวตะเข็บชายแดนคะ ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะอาศัยอยู่รวมกันทั้งกะเหรี่ยงคอยาว และ กะเหรี่ยงหูยาว มีโรงเรียนที่ทางศูนย์อพยพฯสร้างให้ มีโบสถ์ด้วยเพราะบางครอบครัวเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เด็กสาวรุ่นใหม่ไม่ใส่ห่วงที่คอแล้ว เหตุผลเพราะหนัก และไม่สวย แต่จะใส่หากเป็นวันที่สำคัญต้องใส่ชุดประจำเผ่า สำหรับเปรี้ยวเราว่าน่าเสียดาย วัฒนธรรมที่ปู่ยาย ตายายสร้างมาสูญหายเพราะความคิดของคนเมืองเผยแพร่เข้าไป เหตุผลอีกอย่างอาจเพราะต้องการความยอมรับ คนเมืองดูถูกว่าเค้าเป็นคนป่า บ้านนอก ล้าหลัง แต่หลงลืมคิดว่าทุกเผ่าพันธ์ก็มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป ต่อไปคงไม่มีอีกแล้ววิถีชีวิตแบบนี้สำหรับเปรี้ยวแล้ว อยากให้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมคงอยู่ ไม่ใช่เพราะอยากให้พวกเค้าอยู่แบบล้าหลัง แต่เพราะอาจให้วิถีชีวิตดั้งเดิมเหลืออยู่ ไม่ว่าใครมาจากที่ไหนก็อย่าได้ลืมสิ่งที่เป็นรากเหง้าในตัวเรา  มันก็อาจมีเหตุผลหลายอย่างที่ปัญญาอันน้อยนิดของเปรี้ยวอาจไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดไป ก็ขออย่าได้ว่ากัน





เรนาต้า เพื่อนเปรี้ยวเองคะ เจอกันที่อินเดียคุยถูกคอกันดีเลยมาเที่ยวด้วยกันเป็นครั้งแรก ที่ซึ้้งใจสุดๆ คือเรนาต้าบินมาครั้งนี้เพื่อมาเที่ยวกับเรา เราวางแพลนกับล่วงหน้าตั้ง 6 เดือนกว่าจะได้มาเที่ยวด้วยกันในทริปนี้







สุดท้ายเราเดินทางต่อมายังที่หมายที่เราจะค้างคืนที่หมู่บ้านมูเซอดำ หรือ Lahu พวกเราเดินทางมาที่หมู่บ้านนี้ ค่อนข้างนานใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง พวกเรามาถึงที่นี่ประมาณ 5 โมงเย็น บ้านที่เราจะพัก เจ้าของบ้าน ชื่อ สิริศักดิ์คะ น่ารักมาก อายุประมาณ 9 ขวบ ดูแลพวกเราดีมาก



แมวมูเซอ ล้อเล่นนะคะ



แนะนำเพื่อนกันหน่อย มัทธิว กับ เรนาต้า เจอกันที่อินเดีย ส่วนคาซ่าเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่บาหลี ขอตามมาด้วย แล้วก็เลียวนาสคนถ่ายรูป มองไม่เห็นหน้า หุหุ


ห้องนอนที่พวกเรานอนค้างที่หมู่บ้านมูเซอ


ทานข้าวกับสิริศักดิ์และคุณแม่น้องคะ   อาหารเย็นของเรา ปรุงโดยพี่วิรัตน์ คนขับรถที่ดีมากๆและแม่ของสิริศักดิ์ คือว่าชื่อมูเซอของน้องเค้าเรียกยากมาก  พวกเรากินข้าวกับไก่ทอด หมูทอด ผัดผัก แล้วก็แกงไก่ อร่อยมาก ขอบอก ก


อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเข้านอนแล้วจร้า สนุกสุขใจสำหรับทริปนี้ เพื่อนเปรี้ยวก็พูดเหมือนกันว่าเราชอบทริปนี้มาก ต้องขอบคุณพี่นกและพี่วิรัตน์มากๆ เลยคะ


ทริปแรกของปี แม่ฮ่องสอน : Mae Hong Son, 2012

เปรี้ยวนัดเพื่อนไว้ที่เชียงใหม่ หลังจากที่เราร่วมพลกันครบทั้ง 5 คนแล้ว เช้ารุ่งขึ้นพวกเราก็ออกเดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วยรถพัดลม ราคา 120 บาท ใช้เส้นทางผ่านอำเภอปาย เป็นการเดินทางที่ยาวนานนนน ถึง แม่ฮ่องสอนบ่ายแก่ๆ ท่ารถย้ายไปอยู่นอกเมืองเล็กน้อย เปรี้ยวเดินทางกับเพื่อนสาว 3 คน และเพื่อนชายอีก 2 คน โดย เพื่อนสองคนเดินทางมายุโรป เจอกันโดยบังเอิญที่อินเดีย ส่วนเปรี้ยวและเพื่อนอีกสองคนเดินทางจากบาหลีพร้อมกัน เราเจอเก็สต์เฮ้าส์ราคา 300 บาทต่อคืน เจ้าของเป็นคนอังกฤษ ท่าเพี้ยนๆ หุหุ ห้องสะอาดดีใช้ได้ อาหารเย็นก็เป็นผัดซีอิ้ว อร่อยมาก เป็นเพราะหิวหรือเปล่าไม่แน่ใจ หลังจากอาหารเช้า เที่ยง เย็น ในมื้อเดียวเรียบร้อย เราก็เดินหาเอเจนซี่เพื่อเดินทางไปหมู่บ้านชาวเขา อยากให้พี่เค้าช่วยจัดโปรแกรมให้ สุดท้ายเราก็เจอ หุหุ เราลืมชื่อไปนะคะ แต่ไกด์นำเที่ยวของเรา ชื่อ คุณนก และพี่วิรัตน์เป็นคนขับรถ โดยเราจะเดินทางทั้งหมด 5 หมู่บ้าน พัก 1 คืน ที่หมู่บ้านมูเซอดำ หรือ Black Lahu ราคาตกคนละ 3500 บาทต่อคน สุดท้ายเราทุกคนตกลงว่าจะไปทริปนี้ พี่เจ้าของร้านใจดี เลยมีส่วนลดให้เล็กน้อย อิอิ หลังจากนั้นเราเดินเล่นบนถนนคนเดิน ไม่ดึกมากก็เดินกลับที่พัก เพื่อเตรียมตัวสำหรับทริปในวันรุ่งขึ้น



กราบขอพรปีใหม่ : Pura Gunung Kawi Sebatu.

ปีใหม่แล้ว ขอให้มีความสุขความเจริญทุกคนนะคะ สาธุๆ มารายงานตัวช้ามาก เนื่องจากอยู่ที่นี่ค่อนข้างยุ่ง จริงๆ คือ แอบประหยัดค่าเน็ต หุหุ วันนี้จะมาเล่าเรื่องบาหลีให้ฟังต่อดีกว่าอย่าได้คิดมาก ปีใหม่ที่บาหลีบรรยากาศจะคล้ายกับลอยกระทงของบ้านเรา เสียงประทัดดังเป็นระยะๆ หลงคิดว่าอยู่บ้าน ปีใหม่แล้ว เราก็ไปไหว้พระกันดีกว่า วัดที่เปรี้ยวไปมานี้คือ พูรากูนุงคาวี ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเซอบาตู อยู่ทางตอนเหนือของอูบุดคะ เดินทางประมาณ 30 นาที่จากอูบูดก็ถึง ที่นี่จะมีน้ำมนต์ไหลมาตามปากของบารอง ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างนึงของวัดแห่งนี้เลยคะ


ที่นี่ก็เสียค่าเข้าชมด้วย ด้านหน้าวัดก็จะมีผ้าถุง หรือ โสร่ง ให้บริการ มาถึงก็นุ่งกันเลย ทั้งหญิงและชาย ภายในวัดบาหลีก็เหมือนที่เคยเห็น คือจะแบ่งเป็นชั้นๆ บริเวณด้านในสุดเข้าไปไม่ได้ จะอนุญาติ สำหรับคนบาหลีและคนที่นับถือศาสนาฮินดูเท่านั้นคะ



 ในบริเวณชั้นกลางเป็นสระน้ำที่ใช้สำหรับอาบน้ำมนต์ เราเป็นนักท่องเที่ยวลงอาบไม่ได้ แต่เปรี้ยวก็เอาล้างหน้า ล้างมือ ลูบหัวเรียบร้อย แบบว่าไม่มีใครเห็น สาธุๆ ใครที่มาบาหลี ก็ลองมาที่นี่ดูนะคะ วัดเล็กๆ สวย แล้วก็ดูขลังๆ

แปลงผักข้างทาง

ออกจากวัด เปรี้ยวก็เลยไปที่หาด ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าวัดค้างคาว หรือ Pura Goa Lawah ที่ชายหาดมันออกจะดูสกปรกไปบ้าง เพราะคนบาหลีจะมาทำพิธีกรรมต่างๆ ที่นี่ เช่นลอยอังคารสมาชิกที่เสียชีวิตไปบ้าง อุปกรณ์การเซ่นไหว้ก็จะทำมาจากวัสดุธรรมชาติ แต่มันก็ถูกคลื่นซัดกลับมาเหมือนเดิม แล้วอีกอย่างไม่มีการทำความสะอาดเลย มันเลยมองไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ เปรี้ยวแวะมากินก๋วยเตี๋ยวคะ ชามละประมาณ 40 บาท ที่บาหลีเรียกว่า Bakso Ayam คะ เส้นก๋วยเตี๋ยว คือ วุ้นเส้นสีฟ้าอ่อน ไม่รู้ทำมาจากอะไร ลูกชิ้นไก่เหนียวมาก แต่ร้านนี้รสชาติดีสุดแล้วเท่าที่เคยลองกินมา มีไข่ต้มอีก 1 ฟอง กับข้าวปั้นเป็นก้อนๆ


บรรยากาศยามเย็นนั่งกินก๋วยเตี๋ยว มองทะเล โห....=)สุขมากๆ ( แต่ขอบอกว่าบ้านเราอร่อยสุดๆ ) ที่กินไปเนี่ยไม่ได้ครึ่งฝีมือพี่ไทย หุหุ