Cremation Ceremony in Ubud, Bali.

ย้อนเวลาเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่อูบุคมีงานที่ถือว่างานใหญ่เลยก็ว่าได้ ชาวบ้านร่วมกันเตรียมงานครั้งนี้นานนับเดือน นั่นคือ งานศพของภริยาท่านเจ้าเมืองอูบูด ( King of Ubud ) ซึ่งท่านเสียชีวิตราวเดือนมีนาคม ปราสาทที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังมีความสูง 25 เมตร ซึ่งจะเป็นที่เชิญศพไปตามท้องถนน ซึ่งท่านมีชื่อว่า อากุง เนียง ไร และปราสาทจะทำการเผาท้ายสุด หลังจากที่พิธีการทั้งหมดเสร็จสิ้นลง งานนี้ได้รับความสนใจทั้งชาวต่างชาติและชาวบาหลีที่อาศัยอยู่ที่อูบุดและต่างหมู่บ้านแวะเวียนเข้ามาชมปราสาทอันสวยงาม ชาวบาหลีให้ความสำคัญงานศพเป็นอย่างมาก ซึ่งโดยความเชื่อ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นเดินทางครั้งใหญ่ในชีวิต ไปยังโลกที่เรียกว่า อมตะ ที่ทุกคนจะต้องเตรียมพร้อม สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ลูก หลาน ก็ต้องตั้งใจกับงานนี้ให้ออกมาดีที่สุด เพื่อผู้ที่เสียชีวิตไปจะได้ไม่มีกังวล

ซึ่งงานนี้ลูกชายของท่าน คือท่านทองโกดา โอกา อาตา อราดานา สุกาวาตี จะเป็นผู้ยืนบนปราสาทเพื่อนำขบวน การเคลื่อนย้ายก็ใช้แรงงานคนประมาณ 100 คนในการแบกทุกๆ 100 เมตรจะต้องเปลี่ยนชุด ท่าทางหนักเอาการเลยทีเดียวงานเริ่มประมาณ 10 โมงเช้า แต่จนกว่าปราสาทมาถึงยังลานพิธีปาไป เกือบ 3 โมงเย็น นอกจากในขบวนจะมีปราสาทแล้วก็ยังมีวัวกระทิง หรือ โลง ที่จะนำศพเคลื่อนย้ายมาวางและทำการเผา ซึ่งจะเป็นพิธีเมื่อขบวนมาถึงยังลานพิธีแล้ว


งานนี้ถือว่าเป็นการให้กำลังใจต่อผู้ที่เสียชีวิตและครอบครัวจะไม่มีการโศกเศร้าเสียใจ ไม่มีน้ำตาให้เห็นเลยคะ หนุ่มๆ กลุ่มใหญ่บรรเลงเพลงจากเครื่องดนตรีพื้นเมือง เช่น กำมะลาน ฆ้อง กลอง ฯลฯ เสียงดัง ดนตรีก็มีจังหวะเร้าใจ งานเริ่มตั้งแต่สายจนกระทั่งเย็นก็ได้เวลาอันสำคัญที่สุด


ขั้นตอนรองสุดท้าย เมื่อมาถึงยังลานพิธี โลงซึ่งเป็นรูปวัวกระทิงจะถูกนำมาตั้งยังลานที่เตรียมไว้ จากนั้นเชิญศพของผู้ที่เสียชีวิต พร้อมทั้งข้าวปลาอาหาร เสื้อผ้านำใส่ไว้ข้างในโลง รอจนได้ฤกษ์ก็ถึงเวลาฌาปณกิจ หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของญาติและลูกหลานที่จะนำกระดูกไปลอยอังคาร ส่วนปราสาทนั้นก็เผาในวันถัดมา คนบาหลีให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนของชีวิต เกือบจะทุกเดือนมีพิธีกรรมที่ต้องทำ นอกเหนือจากการสวดมนต์ต่อหน้าพระเจ้าและบรรพบุรุษในทุกๆ วันแล้ว ส่วนงานนี้ก็ถือว่าเป็นงานที่สำคัญมากๆ เลยทีเดียว



วันหยุดสุดสัปดาห์กับตำรวจอินโดนีเซีย ?

วันนี้เปรี้ยวมีนัดให้คนมาทำความสะอาดบ้านพักให้ จริงๆ ทำเองก็ได้คะ แต่สัญญาไปแล้วว่าจะให้มาทำ เมื่อทำกิจวัตรและงานเสร็จเรียบร้อย เราก็คิดว่าน่าจะออกไปข้างนอก เพราะไม่อยากมานั่งเฝ้าให้เค้าทำความสะอาด เดี๋ยวเค้าเกร็งทำอะไรไม่ถูก ก่อนออกจากบ้านเอากุญแจไปฝากพี่เจ้าบ้านเสร็จแล้ว


เราเดินทางพร้อมมอเตอร์ไซด์ที่เช่าใช้ (หวังว่าจะมีเงินซื้อมอเตอร์ไซด์เป็นของตัวเองได้ในอีกไม่นาน ) จ่ายเป็นรายเดือน เปรี้ยวออกเดินทางเวลาประมาณบ่ายโมง เดินทางมาทางทิศเหนือของอูบุด ผ่านหมู่บ้านอันดง ( Andong ) ที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดี เพราะเป็นตลาดไม้แกะสลัก ของฝากที่ใหญ่ที่สุดในอูบูด แต่ส่วนใหญ่จะขายราคาส่ง คือต้องซื้อทีละเยอะ มาเรื่อยๆ อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ อีก 5 กม.จะถึงทะเลสาบ คนใส่เสื้อสีเขียวเดินข้ามมาให้เราหยุดมอเตอร์ไซด์ โอแม่เจ้า... ตำรวจอินโดนีเซีย



เปรี้ยวยิ้มหวานทัก ตายล่ะหว่าภาษาอินโดนีเซียยังแย่ แต่หน้าให้ หวังว่าพี่แกคงไม่ถามมาก ยืนยิ้ม ทั้งๆที รู้ดีว่า



1/เป็นเวลานอกราชการของที่นี่แล้ว และวันนี้มันก็วันเสาร์



2/ไม่มีด่านแจ้งบอกว่าจะมีการตรวจ พี่แกแค่จอดรถข้างทาง แล้วโบกให้จอดสังเกตมีทั้ง 4 คน



3/ สุดท้ายเป็นสถานที่ที่ไม่น่าตั้งด่าน เพราะป่าท้ายหมู่บ้าน รอบข้างมีแต่สวนกาแฟ



สาวไทยยืนยิ้ม : Salamat Siang สวัสดีตอนสาย ถึงบ่าย อ่านว่า สะ รา มัด ซี ยาง
พี่แกทักทาย ถามว่าจะไปไหน กินข้าวยัง? อันนี้เข้าใจ ตอบได้


สุดท้ายพี่แกมาชุดใหญ่อินโดฯ ซะยาว ตรงนี้แหละ คือจุดอ่อนฟังไม่รู้เรื่อง ได้แต่ยืนยิ้ม พี่แกรู้แล้วว่าไม่ใช่อินโดฯ หุหุ แบบว่าดูท่าทางเค้าก็ดีนะ ยิ้มตลอด ไม่มีพูดไม่ดี


ยิ้มสู้ แล้วพี่แกก็ถามว่ามาจากไหน ตอบว่ามาจากอูบุด แต่เค้าก็ถามมาเป็นภาษาอังกฤษว่า Where are you from? หุหุ



เราเลยตอบว่าเป็นคนไทย มาเที่ยวอันนี้โกหก อิอิ เช่ารถมอเตอร์ไซด์มาจากอูบุด เข้าทางพี่แกแล้ว ถามถึงใบเสร็จเช่ารถ เราไม่มีเพราะอากุงเป็นเพื่อน เราก็ไม่เคยขอ( แต่อันนี้เราไม่พูด ) แกล้งดูเอกสารมอเตอร์ไซด์ต่อ



ถามต่อว่ามีใบขับขี่สากลไม๊ อันนี้แหละจบเห่ ไม่มีคะ( จริงๆ เรายังไม่มีใบขับขี่ด้วยซ้ำไป จะมีได้ยังไงก็เพิ่งขี่มอเตอร์ไซด์ที่อินโดฯ ) เราตอบตามจริงไม่มีโกหกแต่โกหกว่ามีใบขับขี่ของไทย หุหุ เพราะเราไม่อยากให้เค้ายุ่งเรื่งเอกสาร แล้วดูโน้นดูนี่
เราบอกว่าไม่มี อ้างนิดหนึ่งว่าไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าต้องใช้ แกล้งพูดไปงั้นแหละเรื่องจริง คือมันต้องใช้คะ
แล้วพี่แกก็โชว์ใบเสร็จว่าชาวต่างชาติต้องมีใบขับขี่สากล แล้วยิ้ม ถ้าไม่มีปรับ มอเตอร์ไซด์ 250000 RP. รถยนต์ 1000000 Rp.



แต่ถ้าเราจะจ่ายเงินตอนนี้เลยเค้าก็บอกว่าไม่มีปัญหา ภาษาอังกฤษ No problem ภาษาอินโดนีเซีย Tidak Apa Apa ฮ่าฮ่า


พี่แกเปิดทางมา เราสนองตอบขอจ่าย 50000 RP. แต่พี่แกมองไปข้างหลัง บอกในๆ ว่าไม่พอเพราะมี สี่คน แล้วเค้าก็ขอมาที่ 100000 Rp. หรือประมาณ 100000/8500=11.7 ดอลล่าร์ แต่เป็นเงินไทยก็หารด้วย 270 เป็นเงิน 384.60 บาท สมองเริ่มทำงานดี น่าโมโห ก่อนหน้าทำงานช้าเหลือเกิน มั่วๆ เนียนๆ ไป นะ ผ่านไปนานล่ะ


สรุปคือจ่าย รอบข้าง เหลือเราคนเดียว บรรยากาศไม่น่าอยู่นาน ก่อนหน้ามีรถมอเตอร์ไซด์ฝรั่งกะสาวอินโดฯ ผ่านไปแล้ว แล้วก็รถยนต์หนึ่งคัน เค้าไปแล้ว
แล้วเราก็ถามว่า เราจ่ายแล้ว ข้างหน้ามีตำรวจอีกป่าว? ถ้างั้นจะได้กลับอูบูด พูดแบบทีเล่นทีจริงๆ เรื่องจริงไม่กลับหรอก


พี่แกตอบมาว่า ไม่มีแล้ว แต่ถ้าเจออีกก็บอกให้โทรมาตรงนี้ แล้วเค้าก็บอกว่าให้พิเศษแล้ว special อันนี้เข้าใจแล้ว อารมณ์ดี ( ช่ายสิ ได้เงินแล้วนิ ) เราก็ตอบด้วยอารมณ์ดี ว่า Terima kasih ขอบคุณ ยิ้มแล้วก็บอกลา



"ออกจากบ้านมีเงิน 170000 Rp. จ่ายตำรวจไป 100000 Rp. เหลือเงิน 70000 Rp. ประมาณ 259 บาท สรุป หมดตูด อิอิ "


อินโดนีเซีย ประเทศคอลัมชั่น อันดับต้นๆ เงินเดือนที่ได้ อาจน้อยมากๆ แต่ถ้าทุกคนยอมจ่ายคล้ายเราก็หมดปัญหาแค่วันนี้ แต่ปัญหามันเรื้อรังเพราะมันกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำ อนาคตแก้ยาก ประเทศไทยถามว่าเรื่องนี้มีไม๊ ไม่ต่างกัน แต่ไม่มีใครพูด รู้กันอยู่ จึงได้เป็นเหมือนทุกวันนี้ คือ แก้ยาก เรามองทุกอย่างอย่างเข้าใจว่ามันมีผลพ่วง และช่องโหว่ที่เอื้ออำนวยให้ ประกอบกับเราเองก็มีส่วนในความผิดที่ไม่มีใบขับขี่
สรุป วันนี้เสียเงินไป เพื่อสนับสนุนรัฐบาลอินโดนีเซีย เล็กๆ น้อยๆ เพื่อปากท้องของตำรวจชั้นผู้น้อยที่นี่ 5555555







เทศกาลว่านานาชาติที่หาดซานัว : Bali Kite Festival 2011.

วันเสาร์แวะไปดูแข่งว่าวที่หาดซานัวคะ งานเริ่มเวลา 10 โมงเช้า ครึกครื้นไปด้วยคนบาหลีมากันหลายทีม เปรี้ยวก็มาเชียร์ทีมอูบุด เราอยู่ที่นี่ก็ต้องเชียร์ทีมนี้ ว่าวใหญ่มากเรียกว่าต้องขนกันด้วยรถบรรทุกขนาดเล็กกันเลย










เริ่มต้นการแข่งขัน ทุกคนในทีมก็ช่วยกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ว่าวลอยอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างสวยงาม เพื่อชนะใจกรรมการ ลมแรงได้ใจ เปรี้ยวเห็นว่าวของทีมหนึ่งหักกลางอากาศเลย ทีมนึงสมาชิกก็มากกว่า 20 คนเลย



ทีมนี้ทีมอูบุดคะ เชือกว่าวแข็งแรงมากกลุ่มแรกนำว่าวล่อนไปในอากาศได้ กลุ่มกลางก็ช่วยดึงเพื่อให้เพื่อนบังคับว่าวได้ง่ายขึ้น เล่นว่ากลุ่มนี้เหนื่อยเลยเลยต้องใช้ความแข็งแรง



กลุ่มหลังคอยให้กำลังใจและสาเชือกด้วยรอกมือคะ เรียกว่างานนี้ดีมากเลย สอนให้รู้จักการทำงานเป็นทีมและไม่ใครเอาเปรียบใคร มันเป็นการสอนคนรุ่นใหม่ไปในตัว เทศกาลนี้มีทุกปีคะที่หาดซานัวบนเกาะบาหลี

งดแบกเป้ชั่วคราว :)

มาอัพบล็อกแล้วจ้า ตอนนี้อยู่ที่บาหลีคะ มาได้สักพักแล้ว อยู่กรุงเทพฯไม่ไหว เพราะทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เปรี้ยวตั้งใจมาบาหลีตั้งแต่แรก พอกลับกรุงเทพฯ ก็ยังคิดถึง แรกๆ ก็ทุลักทุเล ตอนนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เลยเริ่มอัพบล็อกอีกครั้งคะ

ช่วงนี้ที่อูบุคช่วงนี้ก็ดูคึกคักเพราะมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น อากาศคล้ายหน้าหนาวบ้านเรา มีฝนบ้างเล็กน้อย ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของเกาะเลยก็ว่าได้ เปรี้ยวติดต่อกับเพื่อนชาวอินโดนีเซียก่อนมา และบางคนที่เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่นานแล้วช่วยหางานให้ อากุงช่วยหาบ้านเช่าให้ในราคาที่พอดี แต่ก็ไม่ถูกเท่าไหร่ อิอิ เจ้าของบ้านใจดีและก็เป็นญาติกับอากุง เปรี้ยวเลยโชคดี ได้บ้านหลังมุม ขนาดคล้ายบังกะโลสไตล์บาหลีหลังเล็กๆ กับประตูโบราณมากๆ คราวหน้าจะเอารูปมาฝากนะคะ อาณาเขตภายในก็ประกอบด้วยบ้านเจ้าของบ้านครอบครัวอากุง โอการ์ เจ้าของ รวมแปดชีวิต ส่วนบังกะโลหลังที่สองอาสาสมัครชาวฮอลแลนด์เช่าอยู่ ถัดมาก็เปรี้ยว ส่วนอีกหลังยังว่าง อาณาเขตบ้านก็ไม่กว้างเท่าไร แต่ก็อยู่กันอย่างเงียบสงบ ตรงกลางบ้านเป็นศาลาของครอบครัวเวลามีงาน ส่วนอีกด้านเป็นวัด คนบาหลีเรียก Family Temple ใช้สวดมนต์เช้าตรู่และตอนเย็น และเป็นที่กราบไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้าคะ



ชีวิตในอูบุคของเปรี้ยวก็แบบเรียบง่าย เริ่มปรับตัวได้และเริ่มเรียนภาษาอินโดนีเซียด้วยตัวเองเพื่อการสื่อสารที่ดีมากขึ้น กว่าจะตัดสินใจมาได้ก็นานหลายเดือน หวังไว้ในใจลึกๆ ว่าเราทำได้ วันนี้มาอัพบล็อกแค่สั้นๆ แล้วคราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อนะคะ


อธิบาย : Balinese guide at Goa Gajah( Elephant Cave ) Bali, Indonesia.


สาวน้อยจากเกาะซุมบา, อินโดนีเซีย : The girl from Sumba Island Indonesia.


เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี : Khao Khitchakut, Chanthaburi.

ทริปนี้เป็นบังเอิญมากๆ เพราะพี่ที่รู้จักชวนแบบกะทันหัน เปรี้ยวเดินทางกับเพื่อนรุ่นพี่รวม 13 คนคะ เดินทางออกจากรุงเทพฯ 4 ทุ่ม ตอนแรกก็สงสัยว่าเค้าไปทำอะไรกันเวลานี้น๊า เปรี้ยวเดินทางถึงเขาคิชฌกูฏประมาณตี 1 ครึ่ง โอแม่เจ้าคนมากันเยอะเลย เปรี้ยวเพิ่งจะมาทราบทีหลังว่าที่เปรี้ยวไปนั่นน่ะคนน้อยแล้วนะเนี่ย โอโห...ไม่น่าเชื่อ
เขาคิชฌกูฏ หรือ อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ เป็นที่นิยมของคนไทยในการเดินทางมานมัสการรอยพระบาท และรอยพระบาทนี้ก็ประดิษฐานอยู่บนยอดเขา ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 1000 เมตร โดยจะเปิดให้นมัสการตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.-4 เม.ย. ของทุกปีคะ


การเดินทางก่อนขึ้นเขา ก็จะมีจุดให้ไหว้พระก่อนทั้งหมด 9 จุด แต่เปรี้ยวก็ไหว้ไม่ครบนะคะ หุหุ..สมองเริ่มทำงานช้า ง่วงนอน อิอิ เปรี้ยวก็เดินถ่ายรูปเรื่อยไป รอพี่ๆ ที่ไปด้วยกัน

จากนั้นเราก็เดินมาที่ท่ารถเพื่อเดินทางขึ้นเขา โดยเสียค่าเดินทางไป-กลับ 200 บ. รถที่ให้บริการเป็นรถ 4WD มีให้บริการตลอด 24 ชม.คะ การเดินทางน่ากลัวเหมือนกันแต่เราก็ต้องมีศรัทธา เราต้องไม่กลัว หุหุ..

จากนั้นเริ่มเดินคะ จากจุดพักรถด้านบนจนถึงรอยพระบาทก็ประมาณ 1.2 กม.ได้ เปรี้ยวไม่ได้ถ่ายรูปเพราะเหนื่อยหุหุ เลยมีแต่รูปตอนขาลง เปรี้ยวเดินจนถึงยอดใช้เวลา 1 ชม.กับอีกนิดหน่อย อิอิ เปรี้ยวเดินถึงบริเวณที่จะนมัสการรอยพระบาทข้างบนประมาณตี 4 ครึ่งคะ

หลวงพ่อกำลังนำสวดมนต์ คนเยอะมาก เปรี้ยวงี้แทบจะเข้าไปไม่ถึงรอยพระบาทคนเยอะมาก โดนเบียดกระเด็นออกมาเลย หุหุ จากนั้นพอไหว้พระฟังเทศน์จากหลวงพ่อแล้ว เปรี้ยวก็เริ่มเดินลงคะ เปรี้ยวเดินลงมาก็เกือบตี 5 แล้ว เออ..ลืมบอกไปว่า พี่ที่ไปด้วยกันค้าบอกเปรี้ยวว่า สามารถอธิษฐานขอได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น ( อิอิ..เปรี้ยวงี้ต้องรีบตัดสินใจเลยว่าจะอธิษฐานอะไรดี แบบว่าอยากได้หลายอย่าง อิอิ ..ล้อเล่นนะคะ)


อันนี้เป็นตอนขาลงคะ ระยะทางก็มีเป็นบันไดบ้าง สะพานบ้าง ทางขุรขระบ้างก็มี เดินได้สบายๆ ไม่ต้องรีบ เปรี้ยวเห็น รุ่นคุณตา คุณยายเค้าก็เดินกันคะ เรียกว่ามีทุกวัย พี่ที่เดินทางไปด้วยกันบอกว่าดีกว่าแต่ก่อนเยอะมาก แต่เปรี้ยวงี้ตอนขากลับขาแทบจะหมดแรง ..อิอิ




หมอกลงจัดคะ ตอนขาลงทางเดินเริ่มลื่น เพราะน้ำค้างตกลงมาทางเดินเปียกชื้น ต้องค่อยระวังไม่ให้ลื่นล้ม ลืมบอกอีกเรื่องเค้าก็มีไม้เท้าให้บริการนะคะ สามารถยืมได้นะจุดเริ่มเดินข้างล่าง ค่าบริการก็แล้วแต่จิตศรัทธาคะ

เปรี้ยวมาถึงข้างล่างก็ประมาณ 6 โมงเช้าคะ มองข้าวต้มรองท้องได้ก็ตรงไปที่รถคะ นอนรอพี่ๆ ที่เค้ายังมาไม่ถึง ครั้งแรกในชีวิตเลยที่มาเมืองจันทฯ และเดินไปไหว้พระ พร้อมนมัสการรอยพระบาทตอนกลางคืนเลยนะเนี่ย อิอิ

แอบเม้านท์อีกเรื่อง ตอนขากลับลงมาคนเยอะ บางคนก็แซงคิวไปขึ้นรถเฉยเลยทั้งๆ ที่คนอื่นก็รอเหมือนกัน แถมยังเบียดเสียดกันไม่สนใจใครมาก่อนมาหลัง บางคนนะทั้งๆ เห็นว่าเค้าอุ้มเด็กนะ ก็ไม่สนใจเลยแย่งหน้าตาเฉย แย่มากเลยคะ เห็นแล้วเปรี้ยวงี้ปลงเลยทำไมมันต้องแย่งกันขนาดนั้น..ไม่เข้าใจ เปรี้ยวยืนรอจนคนไม่เยอะ รถมาติดๆ กันหลายคัน ก็ค่อยเดินทางลงมาแบบว่าไม่ชอบแย่งกะใคร และนี้ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่เปรี้ยวไม่ชอบไปที่ๆ คนเยอะๆ อิอิ เม้าท์นิดหน่อยอย่างว่ากันนะคะ เป็นไงบ้างคะทริปนี้ของเปรี้ยว

ปีใหม่กับการเริ่มต้นแบบใหม่ที่ต้องไม่เหมือนเดิม

แล้วปีนี้ก็มาถึง อิอิ หมายถึงว่าถึงเวลาที่จะต้องหางานทำ โอ..แม่เจ้า เราจะทำงานอะไรดีน๊า???? ที่กรุงเทพฯ ห่างหายจากการทำงานไปหลายปี ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ทำโน่นนิดนี่หน่อย เพื่อให้ได้เงินค่าเดินทาง แต่เปรี้ยวรู้อยู่ตลอดเวลาว่าทุกคนต้องทำงาน เพื่ออะไร.. เพื่อพิสูจน์ศักยภาพที่เรามี..แบบว่าให้ดูดี หุหุ

ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวทำรีซูเม่ เพื่อส่งจ.ม.รัก เออ!!!! ไม่ใช่จ.ม.สมัครงาน หุหุ บรรยายสรรพคุณอย่างดี ส่งไปที่แรก คืนงานที่พิลิปปินส์ หลังจากนั้น 2 วันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น โอ..แม่เจ้า 7 โมงเช้า

Hello.. My name is Judy?? โอ๊ะ.. ใครโทรมาตอนนี้นะเนี่ย เสียงภาษาอังกฤษแปลกๆ งง แล้วจูดี้ก็ถามกลับมาว่า " ฉันได้รับอีเมล์จากคุณเรื่องการสมัครงาน ตำแหน่ง .... สะดวกคุยกับฉันรึเปล่าคะ?"



แล้วก็ตอบกลับไปด้วยความงัวเงีย "ได้คะ "

แล้วก็เริ่มต้นคุยกับจูดี้ สุดท้ายจูดี้ถามมาว่า " คุณสามารถเดินทางไปพิลิปินส์ได้ตลอดเวลาเลยใช่ไม๊?? " ตอบกลับไปอีกว่า " จูดี้ทุกอย่างมันเร็วมากเลย ฉันตั้งตัวไม่ทัน ฉันขอเวลาคิดหน่อยได้ไม๊?"
จูดี้ที่อยู่ปลายสายเงียบ....T_T
เค้าก็คงงงว่า อ้าว ยายคนนี้..ตกลงมันจะเอาไงแน่เนี่ย? ไอ้เราก็งงตัวเอง
สุดท้ายบอกไปว่าขอคิดดูก่อน โอ...แม่เจ้า ทำไมเราเป็นคนแบบนี้น๊า เอาล่ะรอดูงานที่กรุงเทพฯ ก่อนถ้าไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที บทสรุปยังอยู่ในสภาพตกงาน ..หุหุ.. เรียบร้อย ตอนบ่ายหันหน้าเข้าพระ^_^ แบบว่าหาที่พึ่งทางใจ หุหุ.. สวดมนต์ ไหว้พระ " สาธุ หลวงพ่อ ขอให้ได้งานทำทีเถิด จะไม่เกี่ยงงานแล้ว"

เริ่มต้นปีใหม่กับเรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัวปีนี้ จากนั้นก็รอโทรศัพท์ต่อไปเริ่มหางานได้ 1 สัปดาห์พอดี จะมีที่ไหนเค้ารับเราบ้างน๊า ..อิอิ เปรี้ยวก็เริ่มปลอบใจตัวเองว่าในเวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด ที่เราจะต้องคุยกับตัวเอง ที่สุดแล้วตนต้องเป็นที่พึ่งของตน ไม่มีคำว่าสาย หุหุ..สู้ต่อไป..


หนาวที่เมืองน่าน : Cold...Nan Province, North of Thailand.







เปรี้ยวไปเมืองน่านมาคะ เมืองน่านช่วงนี้อากาศเย็นได้ใจ ใครอยากลองมาแอ่วก็เชิญเลยนะจ้ะ ภาพที่เอามาฝากนี้ถ่ายตอนตี 5 ที่อำเภอเวียงสา จ.น่านคะ