เที่ยวชิว ชิว ที่เมืองกาญฯ _ อุทยานประวัติศาสตร์ปราสาทเมืองสิงห์ : Prasat Meuang Singh Historical Park, Kanchanaburi

จนกว่าจะมาอัพบล็อกครั้งนี้ได้ อุปสรรคสารพัด สุดจะบรรยาย เปรี้ยวเดินทางไปปราสาทเมืองสิงห์ พร้อมกับที่เดินทางไปเมืองกาญฯ เมื่อเดือนที่แล้ว การเดินทางครั้งนี้ก็เช่ามอเตอร์ไซด์เหมือนเคย ปราสาทเมืองสิงห์ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี 43 กม.เส้นทางที่ใช้ก็เป็นเส้นทางเดียวกับที่จะไปอำเภอสังขละบุรี มีป้ายบอกเป็นระยะๆ จากนั้นก็ใช้ทางย่อยที่แยกมาจากเส้นทางหลัก ระยะทางประมาณ 9 กม. แต่เปรี้ยวรู้สึกว่าไกลมาก และเปลี่ยวคะ น่ากลัวเหมือนกัน และอีกอย่างคุณลุงที่ให้เช่ารถมอ_ไซด์ดันบอกว่าทางเปลี่ยวมีการชิงทรัพย์กันด้วย เล่นเอาเรากลัวแต่ก็ใจดีสู้เสือมาจนได้ รึว่าเค้าแกล้งพูดให้เรากลัว หุหุ ดีใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อิอิ

ปราสาทเมืองสิงห์ เป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายาน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควน้อย รูปแบบการก่อสร้างเป็นศิลปะขอม ราวศตวรรษที่ 13 เป็นสนามหญ้าโล่งๆ สวยมาก ตัวปราสาทตั้งอยู่ตรงกลาง วันที่เปรี้ยวไปอากาศครึ้มๆ ไม่มีแสงแดด เดินได้สบายๆ




ตรงกลางปราสาทจะมีรูปปั้น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ Mahayana Budhist ซึ่งเป็นองค์จำลองนะคะ องค์จริงถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร คะ




ส่วนมุมนี้ของปราสาท ภายในประดิษฐาน นางปรัชญาปารมิตตา หรือ Prajnaparamita เป็นเทพีแห่งความเฉลียดฉลาด ในความเชื่อทางพุทธศาสนานิกายมหายาน แต่เปรี้ยวถ่ายรูปมา แต่มันไม่สวยเลยคะ มันมืดไปหน่อยเลยไม่ได้เอามาให้ดูกัน











ใกล้ๆ กับปราสาทเมืองสิงห์ ก็จะเป็นหลุมฝังศพมนุษย์โบราณสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่ขุดพบในบริเวณใกล้กับแม่น้ำแควน้อย การเดินทางในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ สามารถนำรถมอเตอร์ไซด์เข้ามาได้ โดยจะเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก 10 บ.




เอาทริปใกล้ๆ กรุงเทพฯ มาฝากคะ เมืองกาญจนบุรีน่าเที่ยวสมกับที่ใครๆ เค้าพูดกัน มีโอกาสคราวหน้า เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวอีกแน่นอน อิอิ

เที่ยวชิว ชิว ที่เมืองกาญฯ : The Bridge of the River Kwai, Kanchanaburi

เปรี้ยวมีโอกาสไปกาญจนบุรีช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคะ การเดินทางไปในครั้งนี้ก็นั่งรถไฟไปคะ รถไฟสายธนบุรี - น้ำตก ค่าโดยสารฟรีสำหรับคนไทย ชาวต่างชาติเสีย 100 บ.คะ ( แอบเม้าท์นิดนึง..แต่พนักงานการรถไฟที่สถานีกาญจนบุรี ไม่ค่อยจะสุภาพเท่าไหร่เลย เราก็แค่ถามเวลารถไฟนิดเดียว ทำท่าหงุดหงิด เจอกับตัวเลยรู้สึกไม่ดีเท่าไร ) ผ่านไปเรื่องแอบเม้าท์ อิอิ การเดินทางก็ใช้เวลาไม่นานคะ ประมาณ 3 ชม. เปรี้ยวมาถึงบ่ายแก่ๆ เปรี้ยวเดินจากสถานีรถไฟไปไม่ไกลก็ได้ที่พักที่ แอบเปิ้ล เก้สต์เฮ้าส์ พนักงานน่ารักกันทุกคน ห้องก็สะอาด ราคาไม่แพงคะ พอได้ที่พักแล้ว ก็เดินต่อไปที่สะพานข้ามแม่น้ำแควคะ เปรี้ยวไปเมืองกาญฯ ครั้งนี้ครั้งแรก โดยรวมเปรี้ยวว่าเมืองกาญฯ น่าอยู่ อากาศก็ดี



เห็นป้ายชื่อถนนน่ารักดี เท่าที่ดูก็จะมีถนนไต้หวัน สิงคโปร์ ลาว เวียดนาม มีอีกหลายประเทศ เข้าคอนเซ็ปพี่โน้ต อุดม ไทยแลนด์ โอนรี่ เพราะชื่อถนนแบบนี้ คงไม่มีในประเทศอื่นหรอกมั้งเนอะ

และแล้วเราก็เดินมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควคะ สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสะพานที่สำคัญของเส้นทางสายมรณะ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่น เพื่อสร้างทางรถไฟไปยังประเทศพม่าคะ แรงงานที่ใช้ก็จะเป็นเชลยศึก กว่า 61700 คน และที่เหลือก็เป็นแรงงานกรรมกรอีกจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่การสร้างสะพานเต็มไปด้วยความยากลำบาก เชลยศึกและกรรมกรล้มตายเป็นอันมาก และภายหลังสงครามสิ้นสุดรัฐบาลไทยก็ได้ทำการซ่อมแซมสะพาน เพราะได้รับความเสียหายจากสงคราม










ตลาดอัญมณีใกล้ๆ สะพานคะ ของน่าซื้อมากๆ สวยๆ ทั้งน้าน


หัวรถจักรไอน้ำเก่าที่ตั้งไว้ เพื่อให้คนรุ่นหลังชื่นชม เห็นแล้วทำให้อยากย้อนยุคไปนั่งรถไฟรุ่นนี้บ้างจัง

จากสะพานข้ามแม่น้ำแคว เปรี้ยวเดินกลับมาที่ สุสานสงครามกาญจนบุรี ซึ่งเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดในจำนวนสุสาน 3 แห่งที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี จากการสร้างทางรถไฟสายมรณะ สุสานแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย Collin St. Clair Oakes สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเชลยศึกที่เสียชีวิตในสงครามและทหารจากเครือจักรภพที่เสียชีวิตมากกว่า 5000 คน และชาวฮอล์แลนด์อีกกว่า 1800 คน





อยากที่เค้าว่า สงครามสร้างแต่ความสูญเสีย เห็นแล้วก็น่าสงสารคนที่ต้องมาเสียชีวิตในต่างบ้านต่างเมือง ช่วงนี้เมืองกาญฯ อากาศกำลังดี และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไร แต่ไงเปรี้ยวพึ่งจะไป ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน หุหุ....

ปั่นจักรยานที่อินเล ตอนที่ 2 : Inle By Bike 2, Inle Lake

เปรี้ยวปั่นจักรยาน แวะที่นั้นที่นี่ไปเรื่อยจนเย็น หวังจะเก็บภาพให้มากๆ ก่อนกลับย่างกุ้งในวันถัดไป เพื่อกลับกรุงเทพฯ เห็นนักท่องเที่ยวเริ่มพูดกันว่า พม่าไม่ให้วีซ่าในช่วงใกล้การเลือกตั้ง อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า? เปรี้ยวแวะคุยกับคนพม่า แต่เราไม่คุยเรื่องการเมือง หุหุ พูดมากไปเดี๋ยวเดือดร้อน อิอิ ที่อินเลผู้คนก็น่ารักคล้ายกับทุกเมืองที่เราผ่านไป เอาภาพมาฝากหวังว่าคงชอบนะคะ จบทริปพม่าแล้วคะ



















ปั่นจักรยานที่อินเล ตอนที่ 1 ; Inle By Bike 1.

เช้าวันใหม่เราเริ่มต้นด้วยการเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย อิอิ อากาศที่อินเลดีมากและตอนเช้าอากาศเย็นเล็กน้อยแต่ไม่มาก จากนั้นเราก็เดินไปเช่าจักยาน ค่าเช่าวันละ 30 บ.คะ ถูกมาก




คันนี้ไง ที่เป็นยานพาหนะของเรา หุหุ ชอบมาก ไม่เคยปั่นจักรยานเก่าแบบนี้มาก่อน ชอบมากคะ เหมื่อนได้ย้อนยุค อิอิ




เปรี้ยวปั่นจักรยานออกจากเมืองราว 1 กม. เพื่อไปที่วัด Shwe Yaunghwe Kyaung เป็นวัดเก่าแก่ที่บ่งบอกความเป้นฉานได้อย่างชัดเจน





ตัวอาคารสร้างจากไม้ทั้งหมด สวยมากคะ






เราอยู่ที่สักพักฝนก็เริ่มตกปรอยๆ เห็นเณรเล่นกัน หลังจากว่างจากการเรียน เห็นแล้วก็น่ารักดี เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ

ทะเลสาปอินเล ตอนที่ 2 : Inle Lake 2, Myanmar

ปัจจุบันทะเลสาปอินเลมีประชากรอาศัยอยู่ในบ้านกลางน้ำ รวมถึงเกาะกลางน้ำ และรอบๆ ทะเลสาป คนพื้นเมือง นอกจากชาวอินตาแล้ว ก็ยังมีคนฉาน คนพะโอ คนดะนุ คนพม่า และชนเผ่าเล็ๆ อีก แต่มีจำนวนไม่มาก ที่น่าสนใจ คือ มีการทำสวนกลางน้ำโดยเฉพาะ สวนมะเขือเทศ คะ ไกด์หนุ่มบอกเราว่า มะเขือเทศจากทะเลสาปอินเล เป็นมะเขือเทศที่มีคุณภาพดีชาวบ้านจะนำไปขายที่มัณฑะเลย์เพราะเป็นตลาดรับซื้อที่ใหญ่ที่สุด นอกจากมะเขือเทศก็ยังมีผัก ผลไม้ เช่น ดอกไม้ พืชตระกูลถั่ว แตงโม กระเทียม ฯลฯ ที่สร้างอาชีพให้กับคนที่นี่ จากที่เราลัดเละไปตามมุมต่างๆของทะเลสาป เปรี้ยวชอบมากได้เก็บภาพอย่างจุใจจนกระทั่งเย็น













พี่หม่อง เค้ากำลังเตรียมตัวกับงานใหญ่ที่จะจัดในเดือนต.ค.ของทุกปี เรียกว่า Phaung Daw U Festival มีประมาณ 20 วัน ใครสนใจเชิญได้เลยนะคะ แต่คงจะต้องเป็นปีหน้า เพื่อนเปรี้ยวคนหนึ่งเคยไปเมื่อหลายปีมาแล้ว บอกว่ามีการล่องเรือกลางทะเลสาปสวยมาก เปรี้ยวเองก็เกิดอาการอยากเห็นเหมือนกัน


เราอยู่ในทะเลสาปจนค่ำก็ได้เวลากลับ ทะเลสาปอินเลสวยสมชื่อที่ใครๆ ต่างก็เชียร์ให้เรามา แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างคิดจริงๆ

ทะเลสาปอินเล ตอนที่ 1 : Inle Lake 1, Myanmar.

อินเล( Inle )เป็นเมืองเล็กๆ แต่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวในเรื่องทัศนียภาพความสวยงาม พอมาถึงก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าเมือง 5 Usd. โอ..แม่เจ้าพี่หม่อง เค้าเล่นเก็บเงินอย่างนี้เลยรึนี่ วันแรกที่ทะเลสาปอินเล เปรี้ยวเช่าเรือกับเพื่อนกลุ่มเดิมในราคา 15000 k ( ประมาณ 370 บาท ) ปกติราคาประมาณ 12000 k แต่ครั้งนี้ พวกเราตกลงไปเจดีย์อินเต่ง ( Shwe Inn Tain ) ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มอีก 3000 k แต่ก็ถือว่าทริปนี้ประหยัดเงินมากๆ หุหุ.. พวกเราเริ่มต้นทิปนี้ประมาณ 8 โมงเช้า ไกด์เดินมารับเราถึงที่พักเลย

ทะเลสาปอินเล มีความยาว 22 กม. ความกว้างประมาณ 11 กม. และสูงจากระดับน้ำทะเล 875 เมตร ทะเลสาปมีทัศนียภาพที่สวยงาม ห้อมล้อมด้วยภูเขา น้ำใสสวยมาก

ที่นี่เป็นท่าเรือที่เรากำลังจะไปนั่งเรือคะ ไกด์หนุ่มของเราบอกเราว่าที่นี่มีหมู่บ้านทั้งหมดประมาณ 17 หมู่บ้าน มีทั้งที่อาศัยในทะเลสาปและรวมไปถึงรอบๆทะเลสาป ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นคนอินตา ( Intha ) ซึ่งภาษาและวัฒนธรรมก็ใกล้เคียงกับวัฒนธรรมฉาน ซึ่งเปรี้ยวลองหาข้อมูลในหนังสือ ก็พบว่า คนอินตา อพยพจากทางตอนใต้ของพม่า และมาอาศัยอยู่ที่นี่ ราวศวตรรษที่ 18


พอเรานั่งเรือมาได้สักพัก ภาพที่เห็นคือ ชาวประมงที่กำลังหาปลา แต่การหาของคนที่นี่ เค้าก็มีลีลาที่น่าสนใจมากๆ ดูแล้วก็แปลกดี แปลกตรงที่พายเรือแบบใช้เท้านี้แหละค่ะ ที่ทำให้เปรี้ยวชอบมาก เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน

พวกเรามาเจดีย์อินเต่ง ( Shwe Inn Tain Monestary ) ทริปนี้สาวพม่าที่เก้สต์เฮ้าส์เป็นคนแนะนำเรามาคะ บอกว่าสวยมาก มีเจดีย์เป็นพันองค์ และเจดีย์แต่ละองค์ก็เก่าแก่ เรียกว่าอายุมากกว่า 100 ปีเลยคะ รวมไปจนถึงตลาดขายสินค้าที่ระลึกที่เยอะมาก เรียกว่าเงินในกระเป๋าแทบจะบินออกจากกระเป๋าไปอย่างรวดเร็ว ของน่าซื้อมากๆ ขอบอก^_^





จากเจดีย์เราก็กลับมาในทะเลสาปอีกครั้ง โดยไกด์หนุ่มบอกว่าโดยรวมๆของการเหมาเรือต่อวัน สิ่งที่เราจะได้เห็นก็จะเป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่น เรือก็จะแวะตามบ้านต่างๆ อย่างที่เปรี้ยวแวะร้านแรกเป็นร้านขายของที่ระลึก ราคาแพงมาก จับสินค้าอันไหน แม่เจ้า..สาวพม่าก็จะตรงเข้ามา พร้อมบอกราคาเป็นดอลล่าร์เรียบร้อย บอกเลยซื้อไม่ลงซักอย่าง แพง อันนี้ขอผ่าน..ไม่ถูกใจเท่าไรในร้านแรก



ส่วนที่น่าสนใจ ก็มีที่บ้านหลังนึง เค้าทำเครื่องประดับเงินคะ ราคาไม่แพง สวยเป็นงานแฮนด์เมด และอีกอย่างก็ คือ ผ้าทอมือที่เปรี้ยวอดใจไม่ได้ เห็นแล้วต้องซื้อ โดยเฉพาะ ลองจี ( longyis )ในภาษาพม่า บ้านเราเรียกว่าโสร่ง หรือ ผ้าถุงคะ แต่ที่ชอบมาก คือ ถ่ายรูปในทะเลสาปอินเล อันนี้แหละที่น่าสนใจที่สุด เดี๋ยวเปรี้ยวจะเอามาฝากครั้งหน้านะคะ

พินดายาเมืองแสนสงบ : Pindaya, Myanmar.

เปรี้ยวเดินทางออกจากคาเลาแต่เช้า โดยเปรี้ยวแชร์ค่าเช่ารถกับเพื่อนกลุ่มเดิม เพราะเปรี้ยวเปลี่ยนใจไม่เทร็กกิ้งที่คาเลา พวกเราเช่ารถราคา 50 Usd. พร้อมคนขับ โดยพี่หม่องจะไปส่งเราที่ทะเลสาปอินเล พวกเราเดินทางมาที่หมู่บ้านพินดายา ซึ่งไม่ไกลจากคาเลามากนัก ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชม.ครึ่ง ( ถ้าเปรี้ยวจำไม่ผิด ) ที่เปรี้ยวมาที่นี่เพราะต้องการมาที่ถ้ำพินดายา ซึ่งได้ยินจากเพื่อนนักท่องเที่ยวมาว่าสวยมาก น่าประทับใจ เลยอยากเห็นกับตาตัวเองบ้าง

ถ้ำพินดายา ( Pindaya Caves ) เป็นถ้ำหินปูน ซ่อนตัวอยู่ในช่องเขา การเดินทางขึ้นไปที่ถ้ำก็สะดวกสบายจะขึ้นลิฟท์ หรือว่าจะเดินขึ้นก็ได้คะ แต่เปรี้ยวเลือกเดินขึ้นไป เพราะไม่ชอบใช้ลิฟท์ และจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 3 Usd. และค่ากล้อง 300 k ต้องถอดรองเท้ารวมทั้งถุงเท้าด้วย สามารถฝากไว้กับพี่หม่องได้ โดยค่าฝากก็แล้วแต่จิตศรัทธา ภายในถ้ำพินดายามีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำมากกว่า 8000 องค์ และพระพุทธรูปบางองค์มีอายุกว่า 100 ปี ภายในถ้ำมีทางเดินและไฟฟ้าคะเดินสบาย บางแห่งมีน้ำหยดตลอดเวลา พื้นจะลื่นก็ต้องคอยระวัง





พอเปรี้ยวเดินเข้ามาก็ทึ่งมากๆ พระพุทธรูปเยอะมาก สวยมาก สมกับที่เค้าบอกมาว่าต้องมาดู พระพุทธรูปที่ประดิษฐานที่ถ้ำแห่งนี้ ก็มีทั้งคนพม่า และชาวต่างชาติ นำมาถวายกับทางวัด เพื่อนำมาเก็บภายในถ้ำ เปรี้ยวสังเกตดูจะเห็นว่าพระพุทธรูปส่วนใหญ่เป็นปางสมาธิคะ




ที่เมืองพินดายาแห่งนี้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น เผ่า Pa-o, Danu, Palaung, Taung-yo ตั้งแต่มาเปรี้ยวได้ยินเกี่ยวกับคนพม่าเรื่องศาสนา พอมาพม่าจริงๆ ก็ได้คำตอบว่าคนพม่ามีความเสื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าเลยจริงๆ เปรี้ยวเดินดูวัดได้สักพักก็ได้เวลาที่เราจะแวะตลาดเพื่อเดินทางต่อไปทะเลสาปอินเล แต่ก่อนไปก็แวะซื้อผ้า ที่ถ้ำพินดายานอกจากจะเป็นที่ตั้งของวัดพินดายา ตรงลานจอดรถก็ยังมีร้านขายสินค้าน่าจะมา 10 กว่าร้านได้ เปรี้ยวเห็นแล้วต้องระงับใจเอาไว้เลย แต่อย่างที่บอกว่าทริปนี้เปรี้ยวประหยัดเงินพอสมควร ก็เลยมีเงินช้อปปิ้ง อิอิ


วิวจากหน้าถ้ำพินดายา



ระหว่างที่เรากำลังจะไปตลาด ก็เจอกับกลุ่มคนเลี้ยงช้าง เลยถือโอกาสถ่ายรูปซะเลย



Pindaya Market เรามาที่ตลาด พอมาถึงก็เจอป้าคนนี้ขายขนมอยู่ เปรี้ยวก็เลยถือโอกาสลองชิมดู ขอซื้อแค่ 500 k ประมาณ 20 กว่าบาทนะจะได้ โอ..แม่เจ้า ป้าเค้าให้ขนมมาเกือบ 10 ชิ้น รสชาติอร่อยคล้ายขนมตาลบ้านเรา แต่ไม่รู้ว่าเค้าทำมาจากอะไร รสชาติอร่อย



ในตลาดจะเป็นคล้ายห้องแถวไม้ต่อกันไป แต่จะเป็นบ้านทรงโบราณๆ ดูสวยเข้ากับบรรยากาศเมืองเล็กแห่งนี้เลยคะ ที่เมืองนี้ดูจะเป็นเมืองสงบๆ อยู่ท่ามกลางภูเขา อากาศสบาย ผู้คนมาจากหลายเผ่า แต่ก็สามารถอยู่รวมกันอย่างสงบ เรียกว่าอยู่อย่างพอเพียงเลย


ใกล้จบทริปพม่าของเปรี้ยว หวังว่าที่เอามาฝากคงชอบกันนะคะ