วันกาลงงันที่เกาะบาหลี : Visit friend in Ubud, Bali

วันที่มาจากเกาะลมบกถึงเกาะบาหลีตรงกับวันที่ ๑๐ พ.ค. พอดีเลย วันนี้เมล์กลับที่บ้านแล้วก็โทรศัพท์หาอากุง เพื่อนคนบาหลีของเปรี้ยวอากุงชวนเราไปทานอาหารที่บ้านวันพรุ่งนี้
เปรี้ยวมาก่อนวันกาลงงัน ที่อูบุคสวยมาก ทุกบ้านถูกตกแต่งสวยแปลกตา







คนทุกวัยต่างก็มีความสุขกันมากในวันนี้


เด็กๆ ออกมาเต้นบารองเป็นขบวนๆ เดินไปตามท้องถนน มีพี่ๆ น้องๆให้งินค่าขนมบ้าง สร้างความสุข สนุกให้กับเด็กมากๆ


วันที่ ๑๑ พ.ค เปรี้ยวทำงานนิดหน่อยตอนเช้า อากุงก็มารับเราไปที่บ้านของเค้า เราไปถึงก็สวัสดีแม่ พ่อ พี่ชาย คน ภรรยาพี่ชาย ภรรยาของอากุง หลานๆ ทั้งบ้าน เค้าชื่ออากุงกันหมด หุหุ จึงได้รู้ว่าอากุงเป็นนามสกุล ไม่ใช่ชื่อ และเป็นชื่อที่บอกถึงวรรณะของครอบครัวนั้นๆด้วยนะคะ ที่บ้านอากุงกำลังวุ่นกับการเตรียมงานสำหรับวันที่ ๑๒ พ.ค. ซึ่งเป็นวันกาลงงัน เป็นงานใหญ่ เป็นวันที่สำคัญมาก จะจัดกันทุกๆ ๒๑๐ วัน เท่าที่อากุงอธิบายความสำคัญ ก็น่าจะประมาณคล้ายวันพืชมงคลบ้านเรา แบบว่าเป็นการขอบคุณ และเริ่มฤดูการเก็บเกี่ยวรอบใหม่ของปีเราได้ลองอาหารบาหลีด้วย อร่อย เลยบอกกับอากุงว่าครั้งหน้าเราจะไปเรียนทำอาหารกับภรรยาของอากุง อิอิ


คุณแม่อากุงกำลังเตรียมของ สำหรับไหว้เทพเจ้าวันกาลงงัน

เริ่มทานอาหารได้




อาหารที่บ้านอากุง จะรับประทานทุกอย่าง ยกเว้นเนื้อวัว อาหารส่วนใหญ่ที่คนบาหลีนิยมจะทำจากเนื้อเป็ด และเนื้อไก่



หลังจากวันกาลงงันแล้ว นับจากวันกาลงงันอีก 10 วันก็เป็นวันคุนิงัน ซึ่งตรงกับวันที่ 22 พ.ค. เป็นวันเกิดของอากุง เพื่อนของเราด้วย เราไปเที่ยวบ้านอากุงอีก นั่งทานอาหารกับอากุง และขนมที่แสนอร่อย ที่บาหลีเรียกว่า ไอซ์ บ้านเราเรียกรวมมิตร อิอิ รสชาติเหมือนกัน เพียงแต่ที่นี่เราใส่เฉพาะผลไม้เท่านั้น เปรี้ยวชอบมาก เรามาบาหลีได้เกือบเดือนแล้ว ชอบบาหลีมากขึ้นๆ เรื่อยๆ แต่ก็ยังห่วงบ้านที่กรุงเทพฯ ได้ข่าวไม่ดี ขอพระคุ้มครองให้เรื่องร้ายผ่านไปเร็ว ที่บาหลีสิ่งที่สำคัญที่สุด คือความช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ซึ่งก็เหมือนกับคนไทย อยากให้คนไทยเป็นเหมือนเดิม เราจะไม่พูดว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราแค่ขอให้ทุกอย่างคืนสู่สยามเมืองยิ้มเหมือนเดิม ...^_^....

เรื่องเกิดขึ้นบนเรือ : Back To Bali.

ได้เวลากลับมายังบาหลี เปรี้ยวเลือกเดินทางด้วยเฟอร์รี่เหมือนเดิม เพราะประหยัดที่สุดแล้ว เราเดินทางกลับด้วยเฟอร์รี่ท้องถิ่น ราคาประหยัด ช้าได้ใจ นั่งหลับไป ตื่นแล้วตื่นอีกก็ไม่ถึงบาหลีซักที แต่มีเรื่องถูกใจอยากเล่าให้ฟังเพราะเจอ คุณตากับคุณยาย น่ารักมากเป็นคนบาหลี แต่ประมาณว่าคุณตามาไหว้พระที่ลมบก คุณตาพยายามมากๆ ที่จะคุยกับเรา ทั้งที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย คุณตาให้ข้าวโพดมา 1 ฟัก นั่งกินกะคุณตา ได้เพื่อนอีกคน อิอิ คุณตาพูดภาษาบาหลีช้าๆ เราก็เปิดหนังสือตามไปว่าแปลว่าอะไร สุดท้ายเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็โอเคกันไป อิอิ
เรานั่งมาเรื่อยๆ เห็นโลมา โอแม่เจ้า.... สวยมาก เปรี้ยวไม่เคยเห็นมาก่อนเลยชอบใจมากๆ เสียดายไม่ได้เก็บภาพมาฝาก หุหุ ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เราก็ได้เห็นโลมาแล้ว

นั่งไปนั่งมาก็มาสะดุดตากับคุณตาอีกคน อายุน่าจะประมาณ 70 ปีได้ น่ารักมาก คุณตาขายถั่วต้มบนเรือคะ คนอินโดฯ เสียอย่างกินที่ไหน ทิ้งตรงนั้น ถังขยะใกล้แค่เอื้อมไม่มีการเดิน เราสังเกตคุณตาจะเดินทั่วเรือ เก็บขยะเศษอาหารทิ้งใส่ถังหมดเลย ใช้มือโกยทิ้งลงถังไม่มีรังเกียจ เห็นแล้วถูกใจในความน่ารักของคุณตา

เราได้เห็นหลายชีวิตบนเรือ บ้างก็ขายของ เรียกว่ามีทุกอย่าง เปรี้ยวเลือกนั่งที่ระเบียงด้านนอก เพราะข้างในต้องนั่งกับพื้น แถมที่แย่ คือสูบบุหรี่กัน ควันโขมง สงสัยเปรี้ยวจะไม่ไหว เลยนั่งกับเก้าอี้ไม้ด้านนอก นั่งจนปวดร้าวไปถึงหลัง สุดจะบรรยาย แถมคลื่นบางครั้งมาสูงๆ ก็เล่นเอามึนหัวเหมือนกัน ดีที่พกยาหม่องของแม่ไปด้วย ช่วยได้เยอะเลย

สุดท้ายเรามาถึงท่าเรือ คุณตากับคุณยายก็บอกลากับเราว่า เดินทางปลอดภัยอะไรประมาณนั้น เรารักคนบาหลีจริงๆ น่ารักมาก ขอบคุณที่ได้มาเจอน้ำใจของคุณตาและคุณยายและสุดท้ายก็เรือเฟอร์รี่ที่พาให้เรามาพบสิ่งดีในชีวิตครั้งนี้



คุณตากับคุณยายที่นั่งคุยกับเราตลอดทางคะ




ท่าเรือปาดังบาย เกาะบาหลี ( Padang Bai, Bali )






เที่ยวเกาะกีลี : Gili Island, Indonesia.

ตั้งแต่ มาที่ลมบก ( lombok ) เราก็คิดว่าบาหลีสวยแล้ว แต่มีเพื่อนอินโดบอกมาว่าไปเกาะกีลี ( Gili Island ) สวยมากกก นั่งเรือจากลมบกประมาณครึ่งชั่วโมง เปรี้ยวก็เกิดไอเดียอีก คือเช่ามอเตอร์ไซด์อีก 1 วัน จากเซนกีกี ( Senggigi ) ไปยังท่าเรือประมาณ ๒๖ กม. หาที่จอดมอเตอร์ไซด์ แล้วเราก็นั่งเรือต่อ


เกาะ กีลี ( Gili Island ) มีด้วยกัน 3 เกาะ คือ กีลีทาวางัน ( Gili Trawangan ) กีลีเมโม ( Gili Meno ) และกีลีแอร์ ( Gili Air ) เปรี้ยวก็เลือกมากีลีทาวางัน เปรี้ยวขี่มอเตอร์ไซด์มาที่บังไซ ( Bang Sai ) เดินไปซื้อตั๋ว พนักงานขายตั๋วบอกว่า คุณต้องรอนานมากๆ ถ้าจะไปกับเรือท้องถิ่น 10000 Rp. ถ้าคุณเลือก เรามีเรือเร็ว ราคา 300000 Rp. โอแม่เจ้า...พันกว่าบาท ไม่ไปอ่ะแบบนี้ T_T หันหลังกลับ เออ!!!! เดี๋ยวคะ เรามีเรืออีกแบบให้คุณเลือก ราคา 185000 Rp. นึกในใจก็ยังแพงอยู่ดี หันหลังเดินออกมา


ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง น้องสาว ( นึกในใจเป็นน้องตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า??? เอาเถอะ !!! )

จะไปเกาะกีลีให้ไม๊ครับ?? ไปกับเรือของเราดีไม๊ เรามีผู้โดยสารแล้ว รอไม่นาน ราคา 35000 Rp.

โอแม่เจ้า...สวรรค์ทรงโปรด ถูกมาก


จาก นั้นเราก็จ่ายเงินไปอย่างเต็มใจ เลยถามว่าแล้วตอนกลับ กลับยังไง พี่ชายชาวอินโดฯ ก็แนะนำอย่างดีให้กลับกับเรือท้องถิ่น ราคา 10000 Rp. ไม่เอ๊ะใจ!!! ทำไมราคาต่างกันเยอะจัง สุดท้ายพี่ท่านก็มาส่งขึ้นเรือ แถมบอกลาว่า My sister from Thailand.


พร้อม กับนักท่องเที่ยวฝรั่งอีก 6 คนได้ หุหุ.. สรุปคือเรือที่เรานั่งไปมันเป็นเรือท้องถิ่นนั่นแหละราคาแค่ 10000 rp. เท่านั้น แต่ประมาณว่ามาอัพราคาขายกันเอง ..ว่างั้น..


สุดท้ายน้องเปรี้ยวโดนไปเต็ม หุหุ.... เอานะ โดนกันเยอะ หลายคน หุหุ


มาถึงยังเกาะกีลี สวยมาก ไม่มีคำบรรยาย เอารูปมาฝาก อิอิ สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก


ตอนขากลับนั่งเรือท้องถิ่นราคา 10000 Rp. หรือประมาณ 35 บ. โอ....แม่เจ้า เล่นกันง่ายนะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ !!!






















See you next time Gili Island ^_^

วัดฮินดูที่เกาะลมบก : Pura Batu Bolong, Lombok island_Indonesia.

วันที่ 2 ของการมาเกาะลมบก เปรี้ยวลืมเล่าเรื่องเกาะลมบกให้ฟัง ขอเล่าให้ฟังคราวๆ นะคะ ด้วยความรู้อันน้อยนิด เกาะลมบก ( L0mbok ) มีคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่มานานมาก หลายศตวรรษ กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ชาวซาสัก ( Sasak ) เป็นประชากรที่อาศัยอยู่มากที่สุดถึง 90% นอกนั้นก็คนจีนและคนบาหลีเพียง 10% เท่านั้น ชาวซาสักซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของบาหลีมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งชาวดัทซ์เข้ามาล่าอาณานิคมนะดินแดนแถบนี้ เกาะลมบกจึงได้ถูกถ่ายโอนมาอยู่ภายใต้การปกครองโดยชาวดัทซ์ ราวศตวรรษที่ 19 ซึ่งขณะนั้นที่เกาะแห่งนี้น่าจะมีประชากรราว 5 แสนคน ปกครองโดยทหารดัทซ์ ประมาณ 250 นาย และหลังจากนั้นก็ได้รับอิสรภาพ นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาท่องเที่ยวที่เกาะลมบก ราวปีค.ศ. 1958 แต่โดยทั่วไป เปรี้ยวก็ยังนึกถึงเกาะบาหลีเสมอ บาหลียังเป็นที่หนึ่งในใจ ส่วนที่ลมบกน่าจะเป็นอะไรที่เงียบๆ น่าพักผ่อน แต่ก็ออกจะพลุกพล่านไปด้วยนักขายที่ไล่ล่าคุณเสมอๆ วันนี้คิดว่าจะขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยวรอบๆ ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์ 50000 Rp. ต่อวัน เราออกดูรอบๆ ก็ได้เวลากลับเพราะมืดครึ้มฝนตกอีกแล้ว

ฝนตกได้สักพักก็หยุด หลังจากฝนหยุดก็ออกเดินทางไปยังวัดฮินดูที่เกาะลมบก คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่นับถือศาสนาอิศลามคะ แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือวัดฮูนดูที่ยังหลงเหลือ บางวัดเก่าแก่มาก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่เกาะลมบกตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวบาหลีเลยนะคะ


แต่ครั้งนี้เปรี้ยวมาที่วัดบาตู โบรอง ( Pura Batu Bolong ) เพราะไม่ไกลจากที่พักมานัก หาดทรายมีสีดำ เพราะเป็นทรายที่เกิดจากการทับถมของลาวาจากภูเขาไฟ สวย เป็นวัดเล็กๆ ไม่ใหญ่ สร้างขึ้นเพื่อบูชาภูเขาไฟอากุงบนเกาะบาหลี

สวยและมีมนต์ขลังตามสไตล์วัดบาหลี





















เดินทางไปเกาะลมบก : Lombok, Indonesia.

หลังจากที่พักอยู่บนเกาะบาหลีได้ 1 สัปดาห์ เปรี้ยวก็ออกเดินทางไปยังเกาะลมบก ( Lombok ) เกาะลมบกอยู่ด้านหลังเกาะบาหลี มีคนบอกมาว่าสวยมาก เลยอยากเห็นบ้างว่าเป็นไงจะสวยกว่าบาหลีมากไม๊น๊า!!!!

เปรี้ยวออกเดินทางด้วยรถบัสของบริษัท Perama เวลา 7.00 น.ซึ่งเวลาที่ประเทศไทยก็ประมาณ 6 โมงเช้าใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. ก็ถึงท่าเรือเฟอร์รี่ ปาดังบาย ( Padang Bai ) ใช้เวลาเดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่ 4 ชม. โอแม่เจ้า... เรือเฟอร์รี่ที่เปรี้ยวใช้เดินทาง เป็นเรือที่พี่ๆน้องๆชาวอินโดฯ เดินทางกันเป็นประจำ ราคาไม่แพงคะ ราคา 31000 Rp. ตอนที่มาถึงก็จะเจอพี่ตัวดำๆเรียก ticket ๆๆ เราก็งง จะเดินไปที่ขายตั๋วก็ไม่ขายให้ พี่ตัวดำพาเราเดินไปที่ขายตั๋วลึกลับ น่ากลัวมาก พอยื่นตัวให้ 2 ใบก็โล่งใจ ตอนแรกก็ตกใจ กลัวถูกหลอกอีก อิอิ

พอขึ้นไปบนเรือเฟอร์รี่ก็จะได้เจอกับอีกที่สนใจ มีของขายเยอะมาก ตั้งแต่น้ำดื่มที่ราคาแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้าว ถั่วต้ม เสื้อยืด ผ้าทอ และถ้าเราไม่สนใจหรือบอกว่าไม่ซื้อ ไม่ดู ก็มีงอนนิดๆ มีเพลงร้องให้ฟัง ซึ่งสุดท้ายถามเอาเงินเฉยเลยอ่ะ งง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ารักดี





Padang Bai

Bye Bye;))) Bali.

เราได้เพื่อนชื่อ มัส มาจากอังกฤษ เดินทางด้วยมอเตอร์ไซด์ แกก็บ่นว่าไม่ค่อยมีคนเข้าใจว่ามัสพูดว่าอะไร สมควรแล้วแหละ พี่แกพูดสไตล์อังกฤษขนาดนั้น เราเองก็มึนเหมือนกัน หุหุ และเราก็ได้มีโอกาสนั่งคุยกับทูดี้ เป็นคนอินโดฯ ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีมากๆ ทูดี้เดินทางกับลูกชายชื่อไมเคิล อายุน่าจะประมาณ ขวบกว่าๆ เธอเดินทางกลับที่เกาะซุบบาวา ( Sumbawa )อยู่ด้านหลังเกาะลมบกอีกทีกว่าจะถึงก็อีก 1 วันได้ ไกลเหลือเกิน ทูดี้บอกว่าเธอเป็นครูคะ สอนอยู่ที่โรงเรียนของรัฐบนเกาะซุบบาวา ที่นั่นมีแต่คนจนเป็นส่วนใหญ่ จึงถือเป็นโชคดีของเธอที่ได้งานนี้ เราคุยกับมัสและทูดี้ สักพักก็นอน ตื่นมาก็ยังไม่ถึงลมบกซักที เริ่มท้อใจกับการเดินทางซะแล้วสิ

จากการเดินทางที่แสนยาวนานสำหรับเปรี้ยว สุดท้ายเราก็มาถึงลมบก หุหุ

Lombok Island;))

เวลาก็บ่ายแก่ เราเดินมองหาเบโม่ ( Bemo ) เพื่อ เดินทางต่อ ทุกคนเรียกราคากันแบบเมามัน แบบว่าเอาให้ตายกันไปเลย แพงมากๆ ฟันราคากันเต็มที เวลาเราพูดตรงก็โกรธอีก

จนสุดท้ายเราเจอผู้ชายคนหนึ่งมาส่งลูกค้าที่เฟอร์รี่ และกำลังจะกลับเซนกีกี ( Senggigi ) ซึ่งเป็นจุดหมายของเปรี้ยวในครั้งนี้ เรียกราคามาที่ 85000 Rp. แต่เราขอลดอีกสุดท้ายก็ได้ราคาที่เราและเค้าต่างพอใจ 50000 Rp.

เดินทางจากท่าเรือมาที่เซนกีกีใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ครึ่ง ท้องฟ้ามืดครึ้มเราลองติดต่อโรมแรม สุดท้ายเราก็เจอ โรงแรมBatu Bolong Hotel ราคา 175000 Rp. ต่อคืน แพงกว่าที่คิดแต่ก็โอเค รวมอาหารเช้าด้วย อิอิ

พอเช็คอินเสร็จฝนก็ตกลงมา มาบาหลีครั้งนี้ฝนตกทุกวันทั้งที่ช่วงนี้เป็นหน้าร้อนแปลกจัง อยากรู้ว่าที่กรุงเทพฯเป็นไงบ้าง


ฟ้าครึ้มมาก ฝนกำลังจะมา

วันที่ 2 ทีเกาะลมบก คืนแรกเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง เช้าวันใหม่ท้องฟ้าสดใส ถ่ายรูปริมหาดซะหน่อย มองไกลจะเห็นภูเขาอากุงบนเกาะบาหลี สวยจัง