เดิน เดิน เดิน : Trekking, Mae Hong Son Province.

ตื่นนอนแต่เช้า เตรียมตัวเรียบร้อย เราก็เดินทางออกจากที่พักเพื่อเดินไปเมืองแพมคะ อากาศเย็นๆ ไม่หนาวมาก




เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอป้ายบอกว่าเดินไปเมืองแพม 6 กม.คะ ชิวๆ หุหุ หลังจากเดินได้ประมาณ 1-2 กม. อาการความแก่มาเยืยน ขาไม่ทำงาน หายใจไม่ทัน เริ่มรู้จักคำว่า " สังขาล " ^_^ ยังไง เดินหน้าต่อไป หวังให้ถึงเร็วๆ แต่ด้วยเขาที่สูง ทำให้เดินเร็วไม่ได้เท่าที่ใจอยาก ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ถึง 2 ชม.ครึ่งน่าจะได้ เราก็มาถึงยังจุดหมายหมู่บ้านเมืองแพมคะ ตอนเข้ามาหมู่บ้านเงียบมากๆ สักพักก็ได้ยินเสียงเรียกเรามาจากบ้านหลังใดหลังหนึ่ง

พี่ ป้า น้า อา ออกมาต้อนรับ หุหุ ไม่ใช่หรอกคะ เค้าเอาผ้าที่ทอไว้มาขายให้ ช่วงนี้นักท่องเที่ยวยังมาไม่มาก ถือโอกาสนั่งเลือกดูซะหน่อย ได้ผ้าห่มมา 2-3 ผืน ถูกใจ ราคาก็ไม่แพง


รอบๆ หมู่บ้านคะ


คุณยายมายืนให้ถ่ายรูป ที่หมู่บ้านนี้เป็นชาวกะเหรี่ยงนะคะ มีพี่บางคนเรียกไปดื่มน้ำที่บ้านเลย อืม..ชื่นใจหายเหนื่อย สังเกตดู สาวๆ เค้านั่งทอผ้ากันเกือบทุกหลัง เค้าบอกว่าเข้าหน้าหนาวแล้ว เลยทอผ้ามากๆ แหละดี มีไว้ทั้งใช้และขายได้เงินอีกต่างหาก

เราพักหายเหนื่อย เดินรอบๆ หมู่บ้านจนหนำใจ เราก็เริ่มเดินกลับ ตอนที่เดินกลับสบายกว่าเยอะ เราหวังจะเจอรถโดยสาร แต่ความหวังแสนริบหรี่ เดินมาถึงหมู่บ้านถ้ำลอด พักกินข้าวเที่ยง ไม่มีรถกลับอำเภอปางมะผ้าเลยคะ เป็นอันว่าต้องเดินต่ออีก 8 กม. รวม 14 กม. เฉพาะขากลับ โอ...แม่เจ้า เดินเรื่อยๆ เกือบ 5 กม. โชคดีเราก็เจอรถใจดีจอดรับมาลงปากทาง จากนั้นนั่งรถกลับปาย เหนื่อยมากๆๆ


มาถึงปายได้ ก็หาของกินเลย ได้ขนมจีนน้ำเงี้ยวแสนอร่อย ประทังชีวิต หุหุ

เที่ยวถ้ำครั้งแรกในชีวิต : Tham Lot ( Lot cave ), Mae Hong Son Province.

ไม่เคยคิดว่าจะเที่ยวถ้ำกะเค้าเลย เพราะไม่ชอบที่แคบๆ อับๆ แต่ครั้งนี้จะลองดูเพราะไม่ได้เข้าไปคนเดียวคะ ที่ถ้ำลอดแห่งนี้ต้องนั่งแพเข้าไปคะ เปรี้ยวจำไม่ได้ว่าจ่ายเงินค่าไกด์ ค่าแพไป 350 หรือ 450 บ. ราคาน่าจะประมาณนี้ ซื้ออาหารปลาอีก 20 บ. นั่งแพเรียบร้อยก็เริ่มเดินทางได้เลยจ้า

ไกด์สาวของเราเตรียมจุดตะเกรียงน้ำมันเพื่อนำทางเราเข้าไปยังภายใน ข้างในถ้ำจะมีทั้งหมด 3 ถ้ำใหญ่ๆ ส่วนที่มีคนรู้จักกันมากน่าจะเป็นถ้ำผีแมน ซึ่งเป็นบริเวณที่ค้นพบโลงศพโบราณ อายุประมาณ 1200-2200 ปีคะ
ปากทางเข้าถ้ำคะ นั่งไม่นาน ไม่น่าจะถึง 5 นาทีก็จะเป็นบริเวณถ้ำที่ 1 มีหินงอก หินย้อย สวยงามมากคะ

เดินไปมันก็จะมีกลิ่นชื้นๆ ไกดืสาวก็อธิบายเป็นระยะๆ ส่วนถ้ำที่ 2 มีทางเดินไม้เดินสบายๆ แต่ชันมากคะ เริ่มเหนื่อยรู้สึกได้เลยว่าภายในมีอากาศน้อยก็ตอนที่เดินเหนื่อย นี่แหละคะ..


รูปอะไร? ดูไม่ออก



ส่วนนี้จะพาเราไปยังถ้ำในส่วนที่ 3 คะ ที่ถ้ำที่ 3 นี้ทางเข้าแทบไม่มีอากาศหายใจเหม็นกลิ่นขี้นก ตลบอบอวล เดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปดูภายในถ้ำ

นี่ก็คือโลงที่พบ ณ ถ้ำแห่งนี้คะ ขนาดยาวคล้ายเรือ และที่ถ้ำแห่งนี้มีบริเวณที่ห้ามเข้าด้วยนะคะ เนื่องจากไม่มีอากาศหายใจสิ่งหนึ่งควรทำตามคำแนะนำของพี่ๆ ที่นี่ เพราะเค้าดูแลอยู่ที่นี่ย่อมรู้ดีมากกว่าเรา ไกด์ของเราบอกว่า บางคนไม่เชื่อเดินหลงในถ้ำ จนพี่ๆ เค้าต้องมาช่วยออกไปก็มี ตอนขากลับเราก็นั่งแพกลับออกมา จ่ายสตางค์ให้ไกด์และพี่ผู้ชายที่จูงแพพาเราเข้าไปเรียบร้อย ก็เดินกลับที่พักคะ พักผ่อนเอาแรงเพื่อวันต่อไป อิอิ

แบกเป้เที่ยวปางมะผ้า : Pang Ma Pha, Mae Hong son Pravince

เราเดินทางออกจากที่พักที่ อ.ปาย แต่เช้า ขึ้นรถที่ท่ารถเพื่อเดินทางไป อ.ปางมะผ้า แต่เปรี้ยวลงที่ปากทางถ้ำลอดคะ รถที่ออกจากปายไปถ้ำลอดส่วนใหญ่เป็นรถเหมา ราคาค่อนข้างแพง จึงคิดว่านั่งรถโดยสารดีกว่า เห็นชาวบ้านบอกว่ารถโดยสารจากถ้ำลอดมีเฉพาะตอนเช้า เปรี้ยวลงที่ปากทาง ไม่มีรถเข้าไปที่ถ้ำลอดแล้ว จากปากทางไปถ้ำลอดระยะทาง 9 กม. น่าจะเดินไหวอยู่ เราจึงเริ่มเดินกันตั้งแต่ถนนใหญ่ เดินมาได้ประมาณ 3 กม.ก็มีพี่ใจดี พี่เค้าจะไปส่งน้ำดื่มที่หมู่บ้าน เราจึงขออาศัยนั่งรถไปด้วย พี่เค้าต้องไปต่อเราจึงลงเดินที่ปากทางหมู่บ้านถ้ำลอดคะ

เปรี้ยวเข้าพักที่ Cave Lodge Guesthouse คะ คืนละ 800 บ. ห้องสะอาดสวย มาถึงก็เริ่มเดินดูรอบๆ ก่อนเดินไปถ้ำลอด

มีลำธารไหลผ่าน สวย เงียบได้ยินแต่เสียงป่าPhotobucket ชอบ เสียงที่เราได้ยินจากป่า ก็ไม่มีโอกาสได้ยินในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ฟังแล้วมันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง

ลองลุยน้ำดูซะหน่อยว่าน้ำเย็นอ๊ะเปล่า?


วิวนี้จากห้องพักคะ ได้เวลาเราเดินไปที่ถ้ำลอดก่อนค่ำ เปรี้ยวพักที่นี่ 1 คืนคะ เพราะเวลาทุกอย่างน้อยเหลือเกิน พยายามให้ทริปนี้ดีที่สุด สำหรับตัวเอง ^_^ และหวังว่าที่เอามาฝากก็คงชอบกันนะคะ

สวัสดีเมืองปาย : Pai Village, Mae Hong Son Province

หนาวแล้วก็ต้องเดินทางขึ้นเหนือกันบ้าง เปรี้ยวเดินทางด้วยรถบัสจากกรุงเทพฯ ถึง จ.เชียงใหม่ จากนั้นก็ต่อรถมาที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ด้วยรถบัสประจำทางคันเล็กๆ เหมือนรถเมล์เขียวในกรุงเทพฯ สนุกดี เปรี้ยวชอบจ.แม่ฮ่องสอนมากเดินทางมา 2-3 ครั้งแล้วก็ยังไม่เบื่อ นั่งรถบนเส้นทางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ได้สักพัก บ่ายๆ ก็ถึง อ.ปายในวันนี้เปลี่ยนไปมาก นักท่องเที่ยวเยอะ ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ทั้งไทยและเทศมีเต็มไปหมด เปรี้ยวมีแพลนว่าจะพักที่ปายแค่ 1 คืน วันรุ่งขึ้นเดินทางต่อ ดังนั้นพอมาถึงก็เริ่มเดินเที่ยวเลยดีกว่า


รีสอร์ทริมแม่น้ำปายค่ะ
ส่วนเจดีย์องค์นี้ เปรี้ยวจำไม่ได้ว่าถ่ายมาจากวัดอะไร เข้าไปเดินเล่นในวัดพอดี เห็นสวยดีก็เลยถ่ายรูปมาคะ

ส่วนนี้เป็นวัดน้ำฮู เปรี้ยวเดินจากตัวเมืองเดินเล่นมาเรื่อยๆ ประมาณ 8-9 กม. มีหลวงพ่ออุ่นเมืองประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ทราบมาว่ามีน้ำไหลออกมาที่เศียรของท่านด้วยนะคะ ที่วัดมีโอ่งบรรจุน้ำจากเศียรของท่านให้บริการแก่ทุกคนที่มาเยี่ยมชมที่วัดแห่งนี้ด้วย เห็นมาบางคนกรอกน้ำใส่ขวดกลับบ้านด้วยเอาไปฝากคนที่บ้าน เก๋ดีเหมือนกัน อิอิ


ภายนอกอุโบสถคะ พักเหนื่อยได้สักพัก ก็ถึงเวลาเดินกลับเข้าเมืองก่อนค่ำ


เดินกลับมาจากวัดน้ำฮู พอมาถึงก็หาที่นั่งพักดื่มอะไรเย็นให้หายเหนื่อย พี่สาวชาวเขาเดินมาขายกระเป๋า ต้องดูซักหน่อยว่ามีอะไรบ้าง หุหุ ราคาถูกมากคะ เปรี้ยวซื้อ 2-3 ใบ อิอิ...ชอบ

เหนื่อยจากการเดินทาง วันนี้ขอพักผ่อนก่อนดีกว่า ตอนเย็นๆ จะมีถนนคนเดินด้วยนะคะ เปรี้ยวพักที่ซอยใกล้วัดกลางคะ ราคาไม่แพง คืนละ 500 บ. ปายก็เป็นเมืองเล็กๆ อากาศดี เหมาะแก่การพักผ่อนมากๆ เปรี้ยวเคยเดินทางมาที่ปายเมื่อหลายปีก่อน เพราะหวังว่าจะย้ายตัวเองมาอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ แต่แผนนั้นก็ยกเลิกไปด้วยหลายๆ เหตุผล แต่ทุกครั้งที่คิดถึงปายก็อดไม่ได้ที่จะต้องวางแผนเดินทางมาที่นี่อีก สำหรับคนที่ชอบการเดินทางแบบนี้ ลองมาเที่ยวที่ ปาย ดูนะคะ

เดินเที่ยวตลาดจตุจักรมีนบุรี : Minburi Market, Bangkok.

เปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวใกล้ๆ บ้าน อยากเอามาโชว์ว่าแถวๆ บ้านก็มีอะไรให้น่าเที่ยวเหมือนกัน นั่งรถเมล์จากบ้านเพียงครึ่งชม.ก็จะถึง ตลาดจตุจักรมีนบุรี ( Chatuchak Minburi Market ) มีของอร่อยๆ ให้กินเพียบ...ขอบอก ตอนนี้น้ำหนักขึ้นมาหลายกิโล ก็เพราะเดินตลาดบ่อยเกินไป หุหุ..

มีผักสดขายด้วยจ้า ส่วนที่ขายอาหารจะอยู่ด้านหน้าจตุจักรมีนบุรี เปิดทุกวัน ตอนเย็นถึงค่ำ แต่ถ้าเป็นส่วนที่ขายของด้านใน เช่น ต้นไม้ สัตว์เลี้ยง หรือของแต่งบ้าน จะเปิดเฉพาะ เสาร์และอาทิตย์ คะ



ร้านนี้มีเนื้อกบ เนื้อจระเข้ เนื้อนกกระจอกเทศขายด้วย หุหุ ขอบาย..;-) เนื้อกบนี้เคยกิน แต่เนื้ออย่างอื่นไม่กล้ากินจ้า


องุ่นสดๆ ใหม่ๆ ราคาถูกกว่าในห้างตั้งเยอะ


ขนมกะหรี่ปั๊บ เจ้าของอร่อยชิ้นละ 5 บาทเท่านั้นคะ


ได้เวลากลับบ้านแล้ว แวะซื้อแกงถุงจากร้านนี้คะ อร่อย.. เจ้าของร้านเป็นคนใต้คะ ถ้าเป็นอาหารรสจัดๆ รสชาติดีมากเลย แต่อาหารปักษ์ใต้ เรายังไม่เคยลองเลยนะคะ ก็คิดว่าอร่อยแน่ แต่วันนี้ซื้อต้มยำไข่ปลามา อืม..แซ่บ ;-) ชอบมากๆ

เที่ยวชมหลวงพ่อโตที่วัดพนัญเชิง : Wat Pananchoeng, Ayutthaya.

จากวัดใหญ่ชัยมงคล เราเดินทางต่อมาอีกนิดหน่อยก็จะเจอวัดพนัญเชิง วัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำคะ วัดพนัญเชิง ตอบตามจริงเปรี้ยวไม่รู้จักคะ แต่เคยได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้าสายน้ำผึ้งกับนางสร้อยดอกหมากที่เคยเป็นบทเรียนของวิชาภาษาไทยในชั้นประถม ถ้าจำไม่ผิด แต่เปรี้ยวผึ่งจะมาทราบภายหลังว่าเป็นวัดเดียวกัน

อุโบสถที่เราเข้าไปกราบหลวงพ่อโตคะ เปรี้ยวเข้าประตูด้านข้างเพราะด้านหน้าคนเยอะ และมองหาที่เก็บรองเท้าด้วยคะ
วัดจีนจะตั้งอยู่ด้านข้างพระอุโบสถ หันหน้าไปทางแม่น้ำ ด้านหน้าจะมีท้าวจตุโลกบาลตั้งอยู่ ทราบมาว่าคนจีนเสื่อมใสศรัทธาและมาที่วัดแห่งนี้ปีนึงเป็นจำนวนมาก

พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต หรือ หลวงพ่อซำปอกง ที่คนจีนเรียกกัน พระพักตร์ที่เราเห็นในปัจจุบันนี้เป็นฝีมือช่างของ อ. ศิลป์ พีระศรี คะ โดยอาจารย์ได้รับมอบหมายจากกรมศิลปากรให้บูรณะ เมื่อปี ค.ศ. 1928 เพราะบริเวณพระพักตร์ของท่านหล่นลงมา หลวงพ่อโตได้รับการบูรณะเป็นระยะๆ เนื่องจากได้รับความเสียหายตั้งแต่ครั้งเสียกรุงฯ เท่าที่ทราบมาหลวงพ่อโตเป็นพระองค์ที่ใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธยา สวยงามมากเลย เปรี้ยวเห็นครั้งแรกก็รู้สึกยังไงบอกไม่ถูก แต่รู้สึกดีมากๆ


ตอนที่เปรี้ยวเข้ามาก็เห็นคนปีนขึ้นไปบนหลวงพ่อ 3-4 คน ก็เข้าใจว่าเค้าจะทำความสะอาดกัน ก็เลยยืนรอคะ อยากเห็นว่าพี่เค้าทำความสะอาดยังไง แต่ว่าไม่ใช่คะ เปรี้ยวมองไปเห็นพี่ป้าน้าอาที่นั่งอยู่ หอบจีวรผืนใหญ่มานั่งอธิษฐานกันใหญ่ เลยยืนดูห่างๆ ว่าเค้าทำอะไรกัน:-)



จากนั้นก็จะมีคุณลุงคนที่แต่งชุดขาวเดินเข้ามา ถ้าใครอธิษฐานเสร็จคุณลุงก็จะโยนขึ้นไปด้านบนที่มีพี่ๆ เค้ายืนรออยู่


นี่คะ^_^พี่เค้าก็เริ่มงานกัน โดยคลี่ผ้าออก และผูกติดกับเชือก ปลายอีกข้างโยนลงมาข้างล่าง


พี่ป้าน้าอาที่อยู่ข้างล่างก็จัดแจงคลุมหัวเรียบร้อย หลวงพ่อที่นั่งอีกด้านก็สวดมนต์บทสั้นๆ เสร็จได้ยินเสียงสาธุ พี่ที่อยู่ด้านบนก็ค่อยๆ ดึงผ้าขึ้นไปห่มองค์หลวงพ่อโต เปรี้ยวชอบมากคะ พึ่งเคยเห็นครั้งแรกที่วัดแห่งนี้ แปลกและน่าสนใจมากเกี่ยวกับความเชื่อของคนไทยในเรื่องของพระพุทธศาสนา


เปรี้ยวเดินย้อนมาด้านหน้าอุโบสถ ก็จะมีห้องแยกไปอีก 2 ส่วนให้คนเข้าไปไหว้พระ เห็นพระพุทธรูปแปลกตาเยอะมากๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน พระองค์นี้คือ องค์พระยูไล เปรี้ยวเห็นป้ายเค้าติดอยู่ อิอิ เปรี้ยวเห็นสวยดีเลยถ่ายรูปมาคะ

ส่วนนี้เป็นส่วนด้านหน้าที่จะให้คนเข้ามาไหว้พระกันได้ และสามารถปิดทองหลวงพ่อโตที่องค์จำลองได้ที่ด้านนี้คะ จากที่นี่เปรี้ยวไปต่ออีก 2 วัด แล้วจะเอามาเล่าให้ฟัง อย่าพึ่งเบื่อนะจ้า

เที่ยววัดใหญ่ชัยมงคล : Wat Yai Chaimongkol, Ayutthaya.

จากอุทยานประวัติศาสตร์ เราเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยววัดสำคัญๆ และยังเป็นสถานที่สำคัญอันทรงคุณค่าของประวัติศาสตร์ชาติไทยอีกด้วยคะ วัดแห่งนี้ถูกทิ้งร้างนานกว่า 400 ปีเลยทีเดียว หลังจากเหตุการณ์ในช่วงเสียกรุงศรียุธยาครั้งที่ 2 วัดใหญ่ฯ จะตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยาคะ เดินทางออกจากเมืองมาไม่ไกลคะ

เจดีย์สูงตั้งเด่นอยู่กลางวัด มีประวัติเล่าว่าสมเด็จพระวันรัตน์พระเถระที่พำนัก ณ ที่วัดแห่งนี้ทรงเป็นผู้ทูลแนะนำแก่สมเด็จพระนเรศวรฯ ให้ทรงสร้างขึ้นแทนการประหารชีวิต เนื่องจากเมื่อครั้นที่พระองค์ทรงกระทำยุทธหัตถีชนะพระอุปราชแห่งกรุงหงสาวดี ทรงกริ้วบรรดาแม่ทัพนายกองที่ตามทัพไม่ทัน ทรงดำริถึงขั้นจะให้ประหารชีวิต แต่สมเด็จพระวันรัตน์ทรงขอชีวิตแม่ทัพนายกองเหล่านั้นไว้

เดินเข้ามาในวัด มองทางซ้ายมือ จะเห็นพระนอนประดิษฐานอยู่ในวิหารที่ไม่มีหลังคาคะ


บันไดทางขึ้นพระเจดีย์ชัยมงคล สังเกตเห็นได้ถึงความเก่าแก่ของพระเจดีย์ หรือ อาจเป็นเพราะว่าผู้คนเดินทางมาที่วัดแห่งนี้กันมาก ก้อนหินสึกอย่างเห็นได้ชัดเลยคะ


ภาพนี้ถ่ายมาจากมุมด้านหลังของพระเจดีย์ชัยมงคล น่าสนใจมากๆ ว่าในสมัยนั้น ไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่จะช่วยในการก่อสร้าง มีเพียงแรงงานจากคนเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดของคนในสมัยก่อน เพราะองค์พระเจดีย์ที่วัดใหญ่สูงมากเลยนะคะ


ด้านนี้เป็นพระอุโบสถคะ สามารถเดินเข้าไปนมัสการพระประธานด้านในได้คะ


พระพุทธรูปตั้งประดิษฐานรอบองค์พระเจดีย์ทั้ง 4 ทิศคะ สวยงามแปลกตาดี เปรี้ยวลองเดินนับดู เดินไปเดินมาลืมนับเลยอ่ะคะ เพราะมัวแต่คุยกันเรื่อง เพื่อนฝรั่งของเราเจอสุนัขไล่ 555 เดินยังไงไม่เข้าใจเลย แถมเพื่อนยังบอกว่า เพื่อนเค้าที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ ได้เตือนไว้แล้วเรื่องสุนัขจรจัด ที่เมืองไทย หุหุ ^:^ ดังไปไกลถึงระดับโลก หุหุ.. แต่ที่อยุธยาสุนัขจรจัดเท่าที่ดูก็เยอะ อันนี้ยอมรับ แต่ที่กรุงเทพฯ หุหุ..ไม่อยากบอกว่าเยอะแค่ไหน แต่น่าจะเยอะกว่านะเปรี้ยวว่า 55 ^_^

โบสถ์เซนต์โยเซฟ : Saint Joseph Catholic Church, Ayutthaya.

โบสถ์เซนต์โยเซฟ หรือที่เรียกกันทั่วๆ ไปว่า โบสถ์นักบุญโยเซฟ คะ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศดีมากๆ เปรี้ยวชอบโบสถ์คะ เพราะโตมากับโบสถ์เลยนะ จำได้ว่าตอนเด็กๆ สับสนระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระเยซู หุหุ.... โบสถ์นักบุญโยเซฟแห่งนี้สร้างขึ้นโดยคณะมิชชั่นนารี จากประเทศฝรั่งเศส ในสมัยของพระนารายณ์มหาราช ซึ่งพระองค์ทรงพระราชทานที่ดินแก่คณะมิชชั่นนารีสำหรับสร้างโบสถ์ ต่อมาในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โบสถ์แห่งนี้ก็ถูกเผาทำลายไปด้วยเช่นกัน ราวปีค.ศ. 1831 คณะมิชชั่นนารีชาวฝรั่งเศสได้กลับมาที่นี่และสร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง



แต่ตัวอาคารที่เห็นอยู่นี้ ได้รับการบูรณะในรัชสมัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 และได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลีคะ

สวยมากเลยคะ บริเวณรอบๆ โบสถ์ก็ร่มรื่นมากๆ




มุมนี้สวยเปรี้ยวชอบ หวังว่าเพื่อนๆ คงจะชอบเหมือนกัน ถ้าจะเดินทางมาที่นี่โดย รถยนต์ หรือ รถมอเตอร์ไซด์ก็อย่าแปลกใจนะคะ ว่าทำไมไม่เห็นทางเข้า เพราะในบริเวณเดียวกันกับโบสถ์เป็นโรงเรียนคะ จะมีพี่ยามยืนอยู่ด้านหน้า บอกพี่ยามเค้าได้เลย เค้าก็จะเปิดประตูให้คะ

Saint Joseph Catholic Church, Ayutthaya. When French missionaries were given lands from King Narai the great, They built this church as a centre of the French community, but the church was destroyed when Ayutthaya was attracked by the Burmese in the 18th century.
But the present building was built on the old church foundation in the period of King Rama V and designed by Italian architects.