

Muchacha en Tailandia: บันทึกการเดินทางแบกเป้ไปอย่างที่ใจเคยฝันไว้ Welcome to my world, my life and my dreams. Bienvenido a mi mundo, mi vida y mis soñar.



คันนี้ไง ที่เป็นยานพาหนะของเรา หุหุ ชอบมาก ไม่เคยปั่นจักรยานเก่าแบบนี้มาก่อน ชอบมากคะ เหมื่อนได้ย้อนยุค อิอิ

ที่นี่เป็นท่าเรือที่เรากำลังจะไปนั่งเรือคะ ไกด์หนุ่มของเราบอกเราว่าที่นี่มีหมู่บ้านทั้งหมดประมาณ 17 หมู่บ้าน มีทั้งที่อาศัยในทะเลสาปและรวมไปถึงรอบๆทะเลสาป ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นคนอินตา ( Intha ) ซึ่งภาษาและวัฒนธรรมก็ใกล้เคียงกับวัฒนธรรมฉาน ซึ่งเปรี้ยวลองหาข้อมูลในหนังสือ ก็พบว่า คนอินตา อพยพจากทางตอนใต้ของพม่า และมาอาศัยอยู่ที่นี่ ราวศวตรรษที่ 18

พวกเรามาเจดีย์อินเต่ง ( Shwe Inn Tain Monestary ) ทริปนี้สาวพม่าที่เก้สต์เฮ้าส์เป็นคนแนะนำเรามาคะ บอกว่าสวยมาก มีเจดีย์เป็นพันองค์ และเจดีย์แต่ละองค์ก็เก่าแก่ เรียกว่าอายุมากกว่า 100 ปีเลยคะ รวมไปจนถึงตลาดขายสินค้าที่ระลึกที่เยอะมาก เรียกว่าเงินในกระเป๋าแทบจะบินออกจากกระเป๋าไปอย่างรวดเร็ว ของน่าซื้อมากๆ ขอบอก^_^
จากเจดีย์เราก็กลับมาในทะเลสาปอีกครั้ง โดยไกด์หนุ่มบอกว่าโดยรวมๆของการเหมาเรือต่อวัน สิ่งที่เราจะได้เห็นก็จะเป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่น เรือก็จะแวะตามบ้านต่างๆ อย่างที่เปรี้ยวแวะร้านแรกเป็นร้านขายของที่ระลึก ราคาแพงมาก จับสินค้าอันไหน แม่เจ้า..สาวพม่าก็จะตรงเข้ามา พร้อมบอกราคาเป็นดอลล่าร์เรียบร้อย บอกเลยซื้อไม่ลงซักอย่าง แพง อันนี้ขอผ่าน..ไม่ถูกใจเท่าไรในร้านแรก
ถ้ำพินดายา ( Pindaya Caves ) เป็นถ้ำหินปูน ซ่อนตัวอยู่ในช่องเขา การเดินทางขึ้นไปที่ถ้ำก็สะดวกสบายจะขึ้นลิฟท์ หรือว่าจะเดินขึ้นก็ได้คะ แต่เปรี้ยวเลือกเดินขึ้นไป เพราะไม่ชอบใช้ลิฟท์ และจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 3 Usd. และค่ากล้อง 300 k ต้องถอดรองเท้ารวมทั้งถุงเท้าด้วย สามารถฝากไว้กับพี่หม่องได้ โดยค่าฝากก็แล้วแต่จิตศรัทธา ภายในถ้ำพินดายามีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำมากกว่า 8000 องค์ และพระพุทธรูปบางองค์มีอายุกว่า 100 ปี ภายในถ้ำมีทางเดินและไฟฟ้าคะเดินสบาย บางแห่งมีน้ำหยดตลอดเวลา พื้นจะลื่นก็ต้องคอยระวัง



ที่เมืองพินดายาแห่งนี้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น เผ่า Pa-o, Danu, Palaung, Taung-yo ตั้งแต่มาเปรี้ยวได้ยินเกี่ยวกับคนพม่าเรื่องศาสนา พอมาพม่าจริงๆ ก็ได้คำตอบว่าคนพม่ามีความเสื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าเลยจริงๆ เปรี้ยวเดินดูวัดได้สักพักก็ได้เวลาที่เราจะแวะตลาดเพื่อเดินทางต่อไปทะเลสาปอินเล แต่ก่อนไปก็แวะซื้อผ้า ที่ถ้ำพินดายานอกจากจะเป็นที่ตั้งของวัดพินดายา ตรงลานจอดรถก็ยังมีร้านขายสินค้าน่าจะมา 10 กว่าร้านได้ เปรี้ยวเห็นแล้วต้องระงับใจเอาไว้เลย แต่อย่างที่บอกว่าทริปนี้เปรี้ยวประหยัดเงินพอสมควร ก็เลยมีเงินช้อปปิ้ง อิอิ
วิวจากหน้าถ้ำพินดายา
เปรี้ยวมาถึงคาเลาบ่าย 3 โมงเย็น อากาศอึมครึม ดีที่เตรียมเจ็กเก็ตตัวหนามาด้วย พอลงรถได้ก็เห็นมีแขกโพกผ้ามาเรียกว่าจะพักที่ไหน สนใจเทร็กกิ้งไม๊? เราเลยบอกว่าขอปรึกษาเพื่อนก่อน ซึ่งทริปนี้เปรี้ยวก็มีมูส ซานดร้า และเลียวนาสที่เที่ยวด้วยกันตั้งแต่มัณฑะเลย์ เปรี้ยวอยากพักที่อื่น แต่ซานดร้าอยากจะพักที่คุณแขกโพกผ้าเค้าแนะนำ เปรี้ยวเองไม่อยากขัดก็เลยตกลง จริงๆ เพราะเราไม่ค่อยถูกชะตากับคุณแขกเค้าเท่าไร แต่เห็นว่าพักแค่คืนเดียว หลังจากที่เราเก็บสัมภาระเรียบร้อย เราก็ออกเดินไปตลาด แต่จริงๆ เปรี้ยวตั้งใจจะไปเทร็กกิ้งที่นั้น แต่กลับตาลปัตรเพราะร่างกายไม่เอื้อซะแล้ว ( ขี่รถจักรยานที่พุกาม จนปวดขาถ้าขืนไปเทร็กกิ้งต่อ รั้งแต่จะเป็นภาระชาวบ้านเปล่าๆ.. ) ที่ตลาด ผู้คนเยอะ คึกคักดี คนน่ารัก ยิ้มให้เราตลอด ขอถ่ายรูปก็ไม่ว่า เปรี้ยวชอบมากคะ
คาเลา ( Kalaw ) เป็นเมืองเล็กๆ เงียบสงบ ตั้งอยู่ในรัฐฉาน ซึ่งสูงจากระดับน้ำ 1320 เมตร สงสัยอากาศจะเย็นตลอดทั้งปีเลย ( ช่วงที่เปรี้ยวพักอยู่ตอนกลางคืนอากาศหนาว ส่วนตอนเช้าอากาศเย็นมีหมอกด้วย ทำให้คิดถึงซาปาที่เวียดนามเลยคะ อากาศคล้ายกัน ) ที่เมืองนี้นอกจากจะมีชาวเขาอาศัยอยู่แล้ว ก็ยังมีทั้งคนฉาน คนพม่า คนอินเดีย มุสลิม และคนเนปาล ส่วนใน 2 กลุ่มหลัง เข้ามาอาศัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อทำงานให้กับกองทัพอังกฤษ คาเลาเป็นเมืองที่น่าสนใจมาก สำหรับคนที่ต้องการเทร็กกิ้ง เปรี้ยวลองถามราคาแล้ว ก็ไม่ถือว่าแพง แถมยังมีเส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขา ดูชาวเขาเผ่าต่างๆ เปรี้ยวเสียดายมากๆ ที่ไม่ได้เทร็กกิ้ง หาข้อมูลตั้งแต่กรุงเทพฯ สุดท้ายทริปนี้ไม่ได้ดั่งใจ ไป 1 อย่าง หุหุ
ป้ายโฆษณายากันยุงอันนี้ ถูกใจเปรี้ยวมาก
เดินดูอาหาร ส่วนใหญ่ก็เหมือนๆ กับบ้านเรา ก็มีเห็ด ผัก ถั่ว ข้าว เยอะแยะมากมาย แต่เห็นแล้วคิดถึงแม่เลย อยากให้แม่ทำกับข้าวให้กิน อิอิ
เปรี้ยวมองไว้แล้ว แอบเปิ้ล เห็นแม่ค้าขายอยู่หลายร้าน ตั้งใจว่าเราจะซื้อ หุหุ




ระหว่างที่พักทานข้าวเที่ยง แต่เปรี้ยวไม่ได้ทานนะคะ กะว่าจะไปทานที่พุกามเลยทีเดียว ช่วงรอ เราก็เดินถ่ายรูปเรื่อยๆ มีความรู้สึกเหมือนกำลังย้อนเวลาเดินทางในประเทศไทยเมื่อ 50 ปีก่อน ( เอ๊ะ..จะใช่เปล่าน๊า )
