ปั่นจักรยานที่อินเล ตอนที่ 2 : Inle By Bike 2, Inle Lake

เปรี้ยวปั่นจักรยาน แวะที่นั้นที่นี่ไปเรื่อยจนเย็น หวังจะเก็บภาพให้มากๆ ก่อนกลับย่างกุ้งในวันถัดไป เพื่อกลับกรุงเทพฯ เห็นนักท่องเที่ยวเริ่มพูดกันว่า พม่าไม่ให้วีซ่าในช่วงใกล้การเลือกตั้ง อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า? เปรี้ยวแวะคุยกับคนพม่า แต่เราไม่คุยเรื่องการเมือง หุหุ พูดมากไปเดี๋ยวเดือดร้อน อิอิ ที่อินเลผู้คนก็น่ารักคล้ายกับทุกเมืองที่เราผ่านไป เอาภาพมาฝากหวังว่าคงชอบนะคะ จบทริปพม่าแล้วคะ



















ปั่นจักรยานที่อินเล ตอนที่ 1 ; Inle By Bike 1.

เช้าวันใหม่เราเริ่มต้นด้วยการเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย อิอิ อากาศที่อินเลดีมากและตอนเช้าอากาศเย็นเล็กน้อยแต่ไม่มาก จากนั้นเราก็เดินไปเช่าจักยาน ค่าเช่าวันละ 30 บ.คะ ถูกมาก




คันนี้ไง ที่เป็นยานพาหนะของเรา หุหุ ชอบมาก ไม่เคยปั่นจักรยานเก่าแบบนี้มาก่อน ชอบมากคะ เหมื่อนได้ย้อนยุค อิอิ




เปรี้ยวปั่นจักรยานออกจากเมืองราว 1 กม. เพื่อไปที่วัด Shwe Yaunghwe Kyaung เป็นวัดเก่าแก่ที่บ่งบอกความเป้นฉานได้อย่างชัดเจน





ตัวอาคารสร้างจากไม้ทั้งหมด สวยมากคะ






เราอยู่ที่สักพักฝนก็เริ่มตกปรอยๆ เห็นเณรเล่นกัน หลังจากว่างจากการเรียน เห็นแล้วก็น่ารักดี เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ

ทะเลสาปอินเล ตอนที่ 2 : Inle Lake 2, Myanmar

ปัจจุบันทะเลสาปอินเลมีประชากรอาศัยอยู่ในบ้านกลางน้ำ รวมถึงเกาะกลางน้ำ และรอบๆ ทะเลสาป คนพื้นเมือง นอกจากชาวอินตาแล้ว ก็ยังมีคนฉาน คนพะโอ คนดะนุ คนพม่า และชนเผ่าเล็ๆ อีก แต่มีจำนวนไม่มาก ที่น่าสนใจ คือ มีการทำสวนกลางน้ำโดยเฉพาะ สวนมะเขือเทศ คะ ไกด์หนุ่มบอกเราว่า มะเขือเทศจากทะเลสาปอินเล เป็นมะเขือเทศที่มีคุณภาพดีชาวบ้านจะนำไปขายที่มัณฑะเลย์เพราะเป็นตลาดรับซื้อที่ใหญ่ที่สุด นอกจากมะเขือเทศก็ยังมีผัก ผลไม้ เช่น ดอกไม้ พืชตระกูลถั่ว แตงโม กระเทียม ฯลฯ ที่สร้างอาชีพให้กับคนที่นี่ จากที่เราลัดเละไปตามมุมต่างๆของทะเลสาป เปรี้ยวชอบมากได้เก็บภาพอย่างจุใจจนกระทั่งเย็น













พี่หม่อง เค้ากำลังเตรียมตัวกับงานใหญ่ที่จะจัดในเดือนต.ค.ของทุกปี เรียกว่า Phaung Daw U Festival มีประมาณ 20 วัน ใครสนใจเชิญได้เลยนะคะ แต่คงจะต้องเป็นปีหน้า เพื่อนเปรี้ยวคนหนึ่งเคยไปเมื่อหลายปีมาแล้ว บอกว่ามีการล่องเรือกลางทะเลสาปสวยมาก เปรี้ยวเองก็เกิดอาการอยากเห็นเหมือนกัน


เราอยู่ในทะเลสาปจนค่ำก็ได้เวลากลับ ทะเลสาปอินเลสวยสมชื่อที่ใครๆ ต่างก็เชียร์ให้เรามา แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างคิดจริงๆ

ทะเลสาปอินเล ตอนที่ 1 : Inle Lake 1, Myanmar.

อินเล( Inle )เป็นเมืองเล็กๆ แต่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวในเรื่องทัศนียภาพความสวยงาม พอมาถึงก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าเมือง 5 Usd. โอ..แม่เจ้าพี่หม่อง เค้าเล่นเก็บเงินอย่างนี้เลยรึนี่ วันแรกที่ทะเลสาปอินเล เปรี้ยวเช่าเรือกับเพื่อนกลุ่มเดิมในราคา 15000 k ( ประมาณ 370 บาท ) ปกติราคาประมาณ 12000 k แต่ครั้งนี้ พวกเราตกลงไปเจดีย์อินเต่ง ( Shwe Inn Tain ) ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มอีก 3000 k แต่ก็ถือว่าทริปนี้ประหยัดเงินมากๆ หุหุ.. พวกเราเริ่มต้นทิปนี้ประมาณ 8 โมงเช้า ไกด์เดินมารับเราถึงที่พักเลย

ทะเลสาปอินเล มีความยาว 22 กม. ความกว้างประมาณ 11 กม. และสูงจากระดับน้ำทะเล 875 เมตร ทะเลสาปมีทัศนียภาพที่สวยงาม ห้อมล้อมด้วยภูเขา น้ำใสสวยมาก

ที่นี่เป็นท่าเรือที่เรากำลังจะไปนั่งเรือคะ ไกด์หนุ่มของเราบอกเราว่าที่นี่มีหมู่บ้านทั้งหมดประมาณ 17 หมู่บ้าน มีทั้งที่อาศัยในทะเลสาปและรวมไปถึงรอบๆทะเลสาป ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นคนอินตา ( Intha ) ซึ่งภาษาและวัฒนธรรมก็ใกล้เคียงกับวัฒนธรรมฉาน ซึ่งเปรี้ยวลองหาข้อมูลในหนังสือ ก็พบว่า คนอินตา อพยพจากทางตอนใต้ของพม่า และมาอาศัยอยู่ที่นี่ ราวศวตรรษที่ 18


พอเรานั่งเรือมาได้สักพัก ภาพที่เห็นคือ ชาวประมงที่กำลังหาปลา แต่การหาของคนที่นี่ เค้าก็มีลีลาที่น่าสนใจมากๆ ดูแล้วก็แปลกดี แปลกตรงที่พายเรือแบบใช้เท้านี้แหละค่ะ ที่ทำให้เปรี้ยวชอบมาก เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน

พวกเรามาเจดีย์อินเต่ง ( Shwe Inn Tain Monestary ) ทริปนี้สาวพม่าที่เก้สต์เฮ้าส์เป็นคนแนะนำเรามาคะ บอกว่าสวยมาก มีเจดีย์เป็นพันองค์ และเจดีย์แต่ละองค์ก็เก่าแก่ เรียกว่าอายุมากกว่า 100 ปีเลยคะ รวมไปจนถึงตลาดขายสินค้าที่ระลึกที่เยอะมาก เรียกว่าเงินในกระเป๋าแทบจะบินออกจากกระเป๋าไปอย่างรวดเร็ว ของน่าซื้อมากๆ ขอบอก^_^





จากเจดีย์เราก็กลับมาในทะเลสาปอีกครั้ง โดยไกด์หนุ่มบอกว่าโดยรวมๆของการเหมาเรือต่อวัน สิ่งที่เราจะได้เห็นก็จะเป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่น เรือก็จะแวะตามบ้านต่างๆ อย่างที่เปรี้ยวแวะร้านแรกเป็นร้านขายของที่ระลึก ราคาแพงมาก จับสินค้าอันไหน แม่เจ้า..สาวพม่าก็จะตรงเข้ามา พร้อมบอกราคาเป็นดอลล่าร์เรียบร้อย บอกเลยซื้อไม่ลงซักอย่าง แพง อันนี้ขอผ่าน..ไม่ถูกใจเท่าไรในร้านแรก



ส่วนที่น่าสนใจ ก็มีที่บ้านหลังนึง เค้าทำเครื่องประดับเงินคะ ราคาไม่แพง สวยเป็นงานแฮนด์เมด และอีกอย่างก็ คือ ผ้าทอมือที่เปรี้ยวอดใจไม่ได้ เห็นแล้วต้องซื้อ โดยเฉพาะ ลองจี ( longyis )ในภาษาพม่า บ้านเราเรียกว่าโสร่ง หรือ ผ้าถุงคะ แต่ที่ชอบมาก คือ ถ่ายรูปในทะเลสาปอินเล อันนี้แหละที่น่าสนใจที่สุด เดี๋ยวเปรี้ยวจะเอามาฝากครั้งหน้านะคะ

พินดายาเมืองแสนสงบ : Pindaya, Myanmar.

เปรี้ยวเดินทางออกจากคาเลาแต่เช้า โดยเปรี้ยวแชร์ค่าเช่ารถกับเพื่อนกลุ่มเดิม เพราะเปรี้ยวเปลี่ยนใจไม่เทร็กกิ้งที่คาเลา พวกเราเช่ารถราคา 50 Usd. พร้อมคนขับ โดยพี่หม่องจะไปส่งเราที่ทะเลสาปอินเล พวกเราเดินทางมาที่หมู่บ้านพินดายา ซึ่งไม่ไกลจากคาเลามากนัก ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชม.ครึ่ง ( ถ้าเปรี้ยวจำไม่ผิด ) ที่เปรี้ยวมาที่นี่เพราะต้องการมาที่ถ้ำพินดายา ซึ่งได้ยินจากเพื่อนนักท่องเที่ยวมาว่าสวยมาก น่าประทับใจ เลยอยากเห็นกับตาตัวเองบ้าง

ถ้ำพินดายา ( Pindaya Caves ) เป็นถ้ำหินปูน ซ่อนตัวอยู่ในช่องเขา การเดินทางขึ้นไปที่ถ้ำก็สะดวกสบายจะขึ้นลิฟท์ หรือว่าจะเดินขึ้นก็ได้คะ แต่เปรี้ยวเลือกเดินขึ้นไป เพราะไม่ชอบใช้ลิฟท์ และจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 3 Usd. และค่ากล้อง 300 k ต้องถอดรองเท้ารวมทั้งถุงเท้าด้วย สามารถฝากไว้กับพี่หม่องได้ โดยค่าฝากก็แล้วแต่จิตศรัทธา ภายในถ้ำพินดายามีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำมากกว่า 8000 องค์ และพระพุทธรูปบางองค์มีอายุกว่า 100 ปี ภายในถ้ำมีทางเดินและไฟฟ้าคะเดินสบาย บางแห่งมีน้ำหยดตลอดเวลา พื้นจะลื่นก็ต้องคอยระวัง





พอเปรี้ยวเดินเข้ามาก็ทึ่งมากๆ พระพุทธรูปเยอะมาก สวยมาก สมกับที่เค้าบอกมาว่าต้องมาดู พระพุทธรูปที่ประดิษฐานที่ถ้ำแห่งนี้ ก็มีทั้งคนพม่า และชาวต่างชาติ นำมาถวายกับทางวัด เพื่อนำมาเก็บภายในถ้ำ เปรี้ยวสังเกตดูจะเห็นว่าพระพุทธรูปส่วนใหญ่เป็นปางสมาธิคะ




ที่เมืองพินดายาแห่งนี้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น เผ่า Pa-o, Danu, Palaung, Taung-yo ตั้งแต่มาเปรี้ยวได้ยินเกี่ยวกับคนพม่าเรื่องศาสนา พอมาพม่าจริงๆ ก็ได้คำตอบว่าคนพม่ามีความเสื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าเลยจริงๆ เปรี้ยวเดินดูวัดได้สักพักก็ได้เวลาที่เราจะแวะตลาดเพื่อเดินทางต่อไปทะเลสาปอินเล แต่ก่อนไปก็แวะซื้อผ้า ที่ถ้ำพินดายานอกจากจะเป็นที่ตั้งของวัดพินดายา ตรงลานจอดรถก็ยังมีร้านขายสินค้าน่าจะมา 10 กว่าร้านได้ เปรี้ยวเห็นแล้วต้องระงับใจเอาไว้เลย แต่อย่างที่บอกว่าทริปนี้เปรี้ยวประหยัดเงินพอสมควร ก็เลยมีเงินช้อปปิ้ง อิอิ


วิวจากหน้าถ้ำพินดายา



ระหว่างที่เรากำลังจะไปตลาด ก็เจอกับกลุ่มคนเลี้ยงช้าง เลยถือโอกาสถ่ายรูปซะเลย



Pindaya Market เรามาที่ตลาด พอมาถึงก็เจอป้าคนนี้ขายขนมอยู่ เปรี้ยวก็เลยถือโอกาสลองชิมดู ขอซื้อแค่ 500 k ประมาณ 20 กว่าบาทนะจะได้ โอ..แม่เจ้า ป้าเค้าให้ขนมมาเกือบ 10 ชิ้น รสชาติอร่อยคล้ายขนมตาลบ้านเรา แต่ไม่รู้ว่าเค้าทำมาจากอะไร รสชาติอร่อย



ในตลาดจะเป็นคล้ายห้องแถวไม้ต่อกันไป แต่จะเป็นบ้านทรงโบราณๆ ดูสวยเข้ากับบรรยากาศเมืองเล็กแห่งนี้เลยคะ ที่เมืองนี้ดูจะเป็นเมืองสงบๆ อยู่ท่ามกลางภูเขา อากาศสบาย ผู้คนมาจากหลายเผ่า แต่ก็สามารถอยู่รวมกันอย่างสงบ เรียกว่าอยู่อย่างพอเพียงเลย


ใกล้จบทริปพม่าของเปรี้ยว หวังว่าที่เอามาฝากคงชอบกันนะคะ

เที่ยวเมืองในหมอกที่พม่า : Kalaw, Myanmar

หลังจากที่เที่ยวพุกามทุ่งเจดีย์แล้ว เปรี้ยวก็เดินทางต่อไปคาเลา ( Kalaw ) ซึ่งก็เป็นทางผ่านที่จะไปทะเลสาปอินเล เปรี้ยวออกเดินทางด้วยรถบัส ซึ่งรถจะมารับที่หน้าเก็สต์เฮ้าส์เลยคะ ใช้เวลาในการเดินทาง 12 ชม. เส้นทางเริ่มเป็นเขาสูง คล้ายๆ แม่ฮ่องสอน อากาศเริ่มเย็น.. จากร้อนมาปะทะเย็นก็ชวนให้เปรี้ยวปวดหัวเหมือนจะเป็นไข้

เปรี้ยวมาถึงคาเลาบ่าย 3 โมงเย็น อากาศอึมครึม ดีที่เตรียมเจ็กเก็ตตัวหนามาด้วย พอลงรถได้ก็เห็นมีแขกโพกผ้ามาเรียกว่าจะพักที่ไหน สนใจเทร็กกิ้งไม๊? เราเลยบอกว่าขอปรึกษาเพื่อนก่อน ซึ่งทริปนี้เปรี้ยวก็มีมูส ซานดร้า และเลียวนาสที่เที่ยวด้วยกันตั้งแต่มัณฑะเลย์ เปรี้ยวอยากพักที่อื่น แต่ซานดร้าอยากจะพักที่คุณแขกโพกผ้าเค้าแนะนำ เปรี้ยวเองไม่อยากขัดก็เลยตกลง จริงๆ เพราะเราไม่ค่อยถูกชะตากับคุณแขกเค้าเท่าไร แต่เห็นว่าพักแค่คืนเดียว หลังจากที่เราเก็บสัมภาระเรียบร้อย เราก็ออกเดินไปตลาด แต่จริงๆ เปรี้ยวตั้งใจจะไปเทร็กกิ้งที่นั้น แต่กลับตาลปัตรเพราะร่างกายไม่เอื้อซะแล้ว ( ขี่รถจักรยานที่พุกาม จนปวดขาถ้าขืนไปเทร็กกิ้งต่อ รั้งแต่จะเป็นภาระชาวบ้านเปล่าๆ.. ) ที่ตลาด ผู้คนเยอะ คึกคักดี คนน่ารัก ยิ้มให้เราตลอด ขอถ่ายรูปก็ไม่ว่า เปรี้ยวชอบมากคะ

คาเลา ( Kalaw ) เป็นเมืองเล็กๆ เงียบสงบ ตั้งอยู่ในรัฐฉาน ซึ่งสูงจากระดับน้ำ 1320 เมตร สงสัยอากาศจะเย็นตลอดทั้งปีเลย ( ช่วงที่เปรี้ยวพักอยู่ตอนกลางคืนอากาศหนาว ส่วนตอนเช้าอากาศเย็นมีหมอกด้วย ทำให้คิดถึงซาปาที่เวียดนามเลยคะ อากาศคล้ายกัน ) ที่เมืองนี้นอกจากจะมีชาวเขาอาศัยอยู่แล้ว ก็ยังมีทั้งคนฉาน คนพม่า คนอินเดีย มุสลิม และคนเนปาล ส่วนใน 2 กลุ่มหลัง เข้ามาอาศัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อทำงานให้กับกองทัพอังกฤษ คาเลาเป็นเมืองที่น่าสนใจมาก สำหรับคนที่ต้องการเทร็กกิ้ง เปรี้ยวลองถามราคาแล้ว ก็ไม่ถือว่าแพง แถมยังมีเส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขา ดูชาวเขาเผ่าต่างๆ เปรี้ยวเสียดายมากๆ ที่ไม่ได้เทร็กกิ้ง หาข้อมูลตั้งแต่กรุงเทพฯ สุดท้ายทริปนี้ไม่ได้ดั่งใจ ไป 1 อย่าง หุหุ

ป้ายโฆษณายากันยุงอันนี้ ถูกใจเปรี้ยวมาก


เดินดูอาหาร ส่วนใหญ่ก็เหมือนๆ กับบ้านเรา ก็มีเห็ด ผัก ถั่ว ข้าว เยอะแยะมากมาย แต่เห็นแล้วคิดถึงแม่เลย อยากให้แม่ทำกับข้าวให้กิน อิอิ





เปรี้ยวมองไว้แล้ว แอบเปิ้ล เห็นแม่ค้าขายอยู่หลายร้าน ตั้งใจว่าเราจะซื้อ หุหุ





ตาชั่งรุ่นนี้ เกิดมาพึงเคยเห็น เห็นแล้วชอบมาก อยากจะเอากลับบ้านมาด้วยจัง^_^
เดินสักพักฝนก็เริ่มตก เปรี้ยวแวะไปพักกินข้าวผัดอยู่พักนึง พอฝนหยุดเราก็เดินกลับมาที่ตลาดอีก เพราะเปรี้ยวอยากกินแอปเปิ้ลคะ เปรี้ยวซื้อในราคาประมาณ 20 บาท ได้มา 5 ลูก รสชาติก็กรอบ อร่อย ใช้ได้เลยและที่สำคัญราคาไม่แพง เที่ยวพม่าดีอย่าง เพราะเปรี้ยวตั้งงบไว้ใช้ต่อวัน ตั้งแต่เที่ยวมาใช้เงินไม่ถึงตามงบที่ตั้งเอาไว้เลยซักวัน ดีใจใช้เงินน้อยกว่าที่คิดไว้ อิอิ เที่ยวแบบนี้ถูกใจมากๆ อิอิ

ชมพระอาทิตย์ที่ทุ่งเจดีย์ : Old Bagan, Myanmar.

เริ่มต้นกับพระอาทิตย์ตกที่พุกาม เปรี้ยวเที่ยวรอบพุกามด้วยรถม้าคะ ทั้งวันจ่าย 10000 k ( 300 บาท ) เป็นราคาที่ถูกใจมากๆ เริ่มตั้ง 8.30 น. จนกระทั่งพระอาทิตย์ตก เปรี้ยวอยากลองถ่ายภาพดู ( มูสและซานดร้าก็มาด้วย ) เปรี้ยวเริ่มมารอพระอาทิตย์ตก ประมาณ 5 โมงเย็น คอยเวลาไปเรื่อยๆ บรรยากาศดี ลมเย็น เจดีย์เป็นพันๆ องค์อยู่รอบตัว ตามประวัติบอกไว้ว่า ราวศตวรรษที่ 13 บริเวณนี้มีเจดีย์ประมาณ 4446 องค์ แต่ปัจจุบันเหลืออยู่ 2217 องค์ เปรี้ยวนั่งรอจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็กลับที่พัก








ส่วนทริปที่ 2 เปรี้ยวตื่นตี 4 คะออกจากที่พัก ตี 4.30 น.เปรี้ยวเช่ารถจักรยานจากที่พัก 1000 k ( 30 บ. ) ตอนแรกก็กังวลว่าจะอันตรายรึเปล่า? แต่งานนี้มีมูสและซานดร้ารวมทริปเหมือนเคย เราและคุณเลียวนาสเป็นผู้ตาม ให้มูสและซานดร้านำทาง ปั่นรถจักรยานท่ามกลางความมืด แต่ปรากฎว่าชาวบ้านเค้าตื่นกันบ้างแล้วคะ และมีบางคนเค้าก็เดินกันเป็นกลุ่มๆ เพื่อไปทำนา จากที่พักจนถึงเจดีย์ที่เราจะปีนขึ้นไปดูแสงแรกของพระอาทิตย์ ก็ไกลประมาณ 4 กม. แต่ครั้งนี้เปรี้ยวไม่ลืมไฟฉายคะ เตรียมมาอย่างดี พอมาถึงก็ปีนขึ้นไป ได้ยินเสียงคนคุยกันเป็นภาษาไทย โอ.. แม่เจ้ามาก่อนเปรี้ยวอีก หลังจากที่เราทักทายคุยเรื่องการเดินทางกับพี่ๆ คนไทยกลุ่มนั้นเล้ว ก็ได้เวลาถ่ายภาพ





เปรี้ยวรออยู่ จนสว่างก็ร่ำลา พี่ๆ คนไทยกลุ่มนั้นกลับที่พัก เพื่อทานอาหารเช้า ทริปนี้เปรี้ยวชอบมาก เพราะตั้งใจไว้ตั้งแต่กรุงเทพฯ แล้วว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ออกที่พุกามให้ได้ และเราก็ได้ทำอย่างที่ตั้งใจก็สบาย สำหรับทริปนี้ที่เปรี้ยวเอามาฝาก หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ

การเดินทางอันยาวนานจากมัณฑะเลย์ถึงพุกาม : Mandalay _ Bagan, Myanmar

เปรี้ยวเดินทางจากมัณฑะเลย์ด้วยรถบัส ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 7-8 ชม.ระยะทาง 145 กม. พอเห็นถนนก็รู้เลยว่าเราจะเดินทางถึงพุกามกี่โมง ถนนเป็นทางลูกรัง บางแห่งต้องผ่านลำธารด้วย รถวิ่ง 20 กม.ต่อชม. ( อันนี้คิดเอาเอง ) รถหยุดพักประมาณ 2-3 ครั้ง การนั่งในรถที่ต้องนั่งหัวสั่นหัวคลอนเป็นอะไรที่ทรมานมากๆ นอนหลับไม่ได้ อากาศร้อน โดยเฉพาะเวลาที่พี่หม่องแกอยากเปิดแอร์ แบบว่าไม่รู้ว่าแอร์ใช้งานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หุหุ พี่แกก็บอกให้ปิดหน้าต่างให้หมด เพราะจะเปิดแอร์ แต่อากาศภายในร้อนสุดๆ ไม่ได้เย็นขึ้นมาเลย เปรี้ยวงี้เปิดหน้าต่างลมข้างนอกยังเย็นกว่าข้างในรถอีกคะ แต่งานนี้เรียกว่าต้องอดทน หุหุ เพื่อไปให้ถึงยังทุ่งเจดีย์




ภายในรถบัส ราคาค่าโดยสารที่เราจ่าย ก็ประมาณ 350 บ. ในรถคันนี้มีชาวต่างชาติทั้งหมด 9 คนคะ คือ คนเยอรมัน 1 คน ฝรั่งเศล 2 คน โปแลนด์ 2 คน สวิตเซอร์แลนด์ 1 คน คนเกาหลี 1 คน คนไทย 2 คนรวมเปรี้ยวด้วย ( เจอเรื่องแปลก คือ เราก็ยิ้มให้เค้า แต่เค้ากลับมองเราด้วยสายตาแปลกๆ เราเลยไม่คุยกับคนไทยคนนั้นเลย เป็นครั้งแรกที่เราเจอแบบนี้ ปกติเจอคนไทยในต่างประเทศเท่าที่เปรี้ยวเจออัชฌาสัยดี บอกเลยว่าเป็นคนไทย และเปรี้ยวงี้เม้าส์กระจายเพราะเราคิดถึงบ้าน อยากรู้ว่าเค้าจะรู้สึกเหมือนเราอ่ะเปล่า.. แต่ครั้งนี้ขอบาย หุหุ แถม ซานดร้าเพื่อนเปรี้ยวยังบอกว่าผู้หญิงไทยคนนั้นดูแปลกๆ เปรี้ยวก็ได้แต่เงียบ ไม่อยากพูดให้เรื่องมันยาว ) และนี่คือมูสกับซานดร้าที่เปรี้ยวแชร์ค่ารถไปสะพานอูเบ็งด้วย ก็เดินทางมาพร้อมกัน และเราคิดว่าเราน่าจะเที่ยวด้วยกันที่พุกาม


ระหว่างที่พักทานข้าวเที่ยง แต่เปรี้ยวไม่ได้ทานนะคะ กะว่าจะไปทานที่พุกามเลยทีเดียว ช่วงรอ เราก็เดินถ่ายรูปเรื่อยๆ มีความรู้สึกเหมือนกำลังย้อนเวลาเดินทางในประเทศไทยเมื่อ 50 ปีก่อน ( เอ๊ะ..จะใช่เปล่าน๊า )



เปรี้ยวเดินทางมาถึงพุกามประมาณ บ่าย 3 โมงครึ่ง รถบัสจอดที่ด่านนอกเมือง ชาวต่างชาติเสียค่าธรรมเนียม 10 $ พอถึงที่ท่ารถเราก็ขึ้นรถม้าไปยังที่พัก เปรี้ยวพักที่พุกาม ราคาค่าที่พัก 12 $ ต่อคืน ต้องขอโทษที่เปรี้ยวจำชื่อไม่ได้ แต่รู้ว่าไม่ไกลมากจากท่ารถมากนัก
เปรี้ยวเก็บสัมภาระที่ห้องพักเรียบร้อย เราก็เดินรอบๆ เมือง เปรี้ยวเดินมาที่เจดีย์ชเวสิกอง ด้านหน้าจะมีสาวๆ วิ่งไล่ตามเพื่อขอติดผีเสื้อเป็นเข็มกลัดอันเล็กๆ แต่เราปฏิเสธไม่รับ เพราะเปรี้ยวรู้สึกว่าของฟรีไม่มีในโลก จึงไม่อยากรับมาให้ลำบากใจ แต่ว่าสาวๆ ที่ตามให้เข็มกลัดก็แสดงอาการโกรธๆ เล็กน้อย ซึ่งทำให้เราคิดได้ว่าทำไมเค้าต้องโกรธเราด้วย มันต้องมีอะไรแน่ๆ ชวนให้สงสัย มาเรื่องเจดีย์ดีกว่า เจดีย์ชเวสิกอง ( Shwezigon Paya ) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ( Anawrahta ) แต่สร้างเสร็จในสมัยพระเจ้าจานสิตา ( Kyanzittha กษัตริย์แห่งพุกามในช่วง ค.ศ. 1084-1113 ) เพื่อเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระเขี้ยวแก้วที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา


เปรี้ยวมาถึงที่นี่ก็ประมาณ 1 ทุ่มแล้ว แต่คนพม่าก็ยังมากราบไหว้เจดีย์ชเวสิกองกันไม่ขาดสาย เปรี้ยวเดินรอบๆ ได้สักพักก็เดินกลับ สิ่งที่ลืมไม่ได้คือ ไฟฉายนะคะ เผื่อใครไปเดินเวลาเย็น เปรี้ยวเองลืมเอาไปด้วยพอเดินออกมาได้สักพัก แบบว่ามืดสนิท เลยทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องความขี้หลงขี้ลืมของเราเอง ชวนให้หงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก