พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จ.ลพบุรี : Phra Narai Ratcha Niwet ( King Narai's Palace ), Lopburi Province.

พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ตั้งอยู่ที่ จ.ลพบุรี ตอนที่เปรี้ยวมาก็ประมาณ 9.00 น.จริงเค้าเปิด 8.30 แต่วันที่มารู้สึกจะมีงานอะไรไม่ทราบเลยไม่มีเจ้าหน้าที่ พี่ๆเค้าเลยบอกว่าให้เดินเข้ามาดูได้เลยคะ หนูเปรี้ยวเลยเริ่มเดินเที่ยวเลย อิอิ ไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าชม พระราชวังแห่งนี้ก็ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 43 ไร่คะ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงโปรดให้สร้างเพื่อเป็นพระราชวังแห่งที่ 2 พระราชวังออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ตามประวัติบอกไว้ว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดประทับที่พระราชวังแห่งนี้เป็นอย่างมาก หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ พระราชวังแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างจนกระทั่งสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.4 ก็ทรงโปรดให้ปรับปรุงซ่อมแซมขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2399


ประตูทางเข้าไปสู่ พระราชฐานชั้นใน รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้ซ่อมแซม มีเรือนพักของข้ราชบริพารอยู่ด้านหลังมีทั้งหมด 12 อาคาร มีคำอธิบายแจ้งไว้ว่า ในส่วนนี้จะสามารถเข้าได้เฉพาะ ข้าราชบริพารที่เป็นหญิงเท่านั้นคะ


พระราชฐานชั้นในที่ซ่อมแซมใหม่ภายหลัง



ท้องพระโรงแห่งนี้ ใช้สำหรับต้อนรับราชฑูตจากประเทศต่างๆ ที่ต้องการเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ฯ และมีเรื่องเล่าว่า ณ ท้องพระโรงแห่งนี้เองที่ นายมองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ ราชฑูตชาวฝรั่งเศสที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงส่งมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับสยาม โดยต้องการให้สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงรับศีลเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสตร์ นิกายโรมันคาทอลิก แต่พระองค์ได้ทรงใช้พระปรีชาญาณตอบปฏิเสธอย่างทะนุถนอมไมตรี

บริเวณพระราชฐานชั้นนอก ก็จะประกอบไปด้วยพระวิหาร สิบสองห้องพระคลัง โรงช้าง ซึ่งก็ยังมีอาคารเก่าแก หลงเหลือให้เห็น แถมยังมีท่อประปาดินเผาให้เห็นด้วยคะ นับว่าเป็นสมัยที่รุ่งเรืองอันมาและในสมัยนี้เองที่สยามติดต่อกับนานาประเทศ มีการติดต่อทำการค้ากับประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส ฮอลันดา อังกฤษ เป็นต้น







อ่ะจบแล้วคะ เที่ยว 1 วัน 1 คืน ที่ลพบุรี เปรี้ยวชอบมากคะ

Phra Narai Ratcha Niwet ( King Narai's Palace )
During the reign of Ayuthaya's King Narai, Lopburi was used as a second capital. The King, chose this site for his palace, who took 12 year to buit between 1665-1677. French architects contributed to the design. Upon the king's death in 1688, the palace was used only King Phetracha ( King Narai's successor ) for his coronation ceremony and was adandoned until King Rama 4 of Bangkok's Chakri dynasty ordered restoration in the mid-19th century.

เที่ยวลพบุรี : Lopburi province, 2009.

ทริปลพบุรีคะ มาอัพบล็อกซะหน่อยเจอเรื่องวุ่นวายมากมายเลยหนีไปหลบร้อน ^_^ เดินทางด้วยรถไฟฟรี ชั้น 3 (ราคาเต็ม 28 บ. เดินทางด้วยรถไฟที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก) ราคาน่าสงสารมากๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมการรถไฟถึงขาดทุน เดินทางออกจากกรุงเทพเวลา 14.05 น. ถึงสถานีลพบุรีเวลา 17.20 น.คะ หลังจากนั้นก็เดินเที่ยวเมืองคะเดินได้สบายๆ พอถึงก็หิวเลยคะ ซื้อไส้กรอกข้าวลูกละ 1 บ. พร้อมหนังไก่ 1 ถุง หุหุ




จากนั้นก็เดินเล่นมาเรื่อยๆ เพื่อเตรียมไว้ว่าวันรุ่งขึ้นจะทำอะไรดี ไปเที่ยวที่ไหนต่อ เดินผ่านหน้าบ้านพระยาวิชาเยนทร์ หรือ นายคอนสแตนติน ฟอลคอน มีเชื้อสายของชาวกรีกและเวนิซ เดินทางมาประเทศสยามในฐานะพ่อค้า นายฟอลคอนเรียนรู้ภาษไทยได้อย่างรวดเร็ว และได้เข้ารับราชการในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในตำแหน่งล่าม และเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่เข้ารับราชการในสมัยกรุงศรีอยุธยา สุดท้ายก็มาจบชีวิตในประเทศไทยด้วยวัยเพียง 41 ปี





จากนั้นเดินเล่นเรื่อยจนถึงตลาดไนท์ บาร์ซ่าด้านหน้าศาลพระกาฬ ริมทางรถไฟ บริเวณนี้มีลิงเยอะมากคะ วุ้ย!!! มันกระโดดเกาะขาหนูเปรี้ยว 2 ตัว น่ากลัว แต่พี่เค้าช่วยไล่ไปให้ เปรี้ยวไม่ทำอะไรยืนนิ่งไม่ไหวติง กลัวลิงกัด แล้วมันก็กระโดดขึ้นเสาไฟฟ้าเริงร่าได้แกล้งเรา




หาของกินจนอิ่มหนำก็เดินหาที่นอนคะ เปรี้ยวเลือกอีกด้านของเมืองเพราะโรงแรมที่อยู่ใกล้ศาลพระกาฬ ลิงมันวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ไม่เอากลัวลิง^_^ คนอะรายกลัวเผ่าเดียวกัน เปรี้ยวเลยเลือกที่โรงแรมเนตติ์ ราคาคืนละ 250 บ. ห้องสะอาดถูกใจ นอนหลับสบาย




วันที่ 2 ของการแบกเป้เที่ยวลพบุรี เรามีเวลาเดินทางครึ่งวัน เปรี้ยวไม่เคยตื่นแบบนี้มาก่อน ออกเดินทางก็ประมาณ 7.30 น.ได้ มาที่แรกเลย คือ ปรางค์สามยอดคะ บรรดาน้องลิงเต็มลานด้านหน้า :-) เสียค่าเข้าชม 30 บ. แต่เรา..ดิ.เดินไม่มีความสุขเลย น้องลิงเล่นเดินบ้าง กระโดดบ้าง ถ่ายรูปไป ระแวงไปตลอดเวลา พูดถึงปรางค์สามยอดนี้ ก็เป็นพุทธสถานนะคะ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่สร้างขึ้นก็เพื่อเป็นพุทธสถาน ประจำเมืองละโว้ ซึ่งในสมัยนั้นก็คือเมืองลูกหลวงของอาณาจักรขอม และต่อมาในสมัยพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงมีรับสั่งให้ก่อสร้างเพิ่มเติมในส่วนด้านทิศตะวันออก เป็นวิหาร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป องค์นี้แหละคะ น้องลิงนั่งเล่นเต็มไปหมด ปรางค์สามยอดแห่งนี้จะตั้งอยู่ริมทางรถไฟ ทางด้านหน้าศาลพระกาฬ เดินไปเล็กน้อยก็จะเป็นศาลพระกาฬ











จากนั้นก็เดินมาที่ วัดเสาธงทอง คะ วิหารรูปร่างแปลก คือเป็นทรงสูง ส่วนหน้าต่างก็จะเล็กและแคบ ซึ่งก็ได้ลองหาข้อมูล ก็พบข้อมูลว่าเดิมฝรั่งเศลสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น น่าจะใช้เพื่อเป็นศาสนสถานของศาสนาอื่น ซึ่งสามารถพบหลักฐานที่มายืนยันได้คือ ตึกโคโรซาน อยู่ทางด้านหลังวิหารซึ่งในสมัยโบราณใช้เป็นที่พักรับรองฑูตชาวเปอร์เซีย ปัจจุบันใช้เป็นโรงเรียนนวดแผนโบราณ ก็จะมีคุณลุง คุณป้าประจำอยู่ 2-3 คน และอีกตึกหนึ่ง คือ ตึกปิจู ซึ่งน่าจะเป็นมัสยิด รูปทรงตึกจะเป็นสไตล์เปอร์เซีย และปัจจุบันใช้เป็นกุฏิพระคะ ที่ด้านหน้าวัดมีตลาดสด เปรี้ยวเดินมันเลย ส่วนใหญ่จะเป็นของสด ผักสดเยอะมาก อยากซื้อกลับบ้าน อิอิ


เดินมาอีกมุมของเมืองก็จะเจอ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ที่วัดแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2539 ที่วัดแห่งนี้จะแบ่งเป็น 2 ช่วงการก่อสร้างคือ มีบางส่วนที่สร้างขึ้นก่อนสมัยพระนารายณ์มหาราช และมีบางส่วนที่สร้างขึ้นในสมัยพระนารายณ์คะ





เดินไปเดินมาก็ปาเข้าไป 9 โมงเช้าที่สุดท้ายที่เราจะไปก็คือ พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์คะ แวะถ่ายรูปหัวรถจักร ด้านหน้าสถานีรถไฟลพบุรี อยู่ตรงข้ามกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หลังจากพระราชวังเราก็เดินกับไปเอาของที่โรงแรมและเดินทางต่อไปอยุธยา

เที่ยวสะหวันนาเขตก่อนกลับไทย : Savannakhet, South Laos 2009.

จริงแล้ว การเดินทางในครั้งนั้น ไปเมืองเซกองด้วย แต่เปรี้ยวขอข้ามนะคะ มาที่เมืองสะหวันนะเขตเลย เมืองสะหวันนะเขตก็เป็นเมืองเล็กๆ เพื่อนชาวลาวบอกว่าตั้งแต่เปิดสะพานไทย-ลาว ระหว่าง จ.มุกดาหาร และ สะหวันนะเขตก็เงียบเหงาเลย เพราะคนลาวนิยมข้ามมาทำงานหรือมาค้าขายในไทยมากกว่า เจอพี่สาวชาวลาว กลับมาทำเอกสาร เพราะจะได้มาจดทะเบียนสมรสในไทยเธอท้องได้ 3 เดือนกับสามีคนไทย ที่นี่คนลาวขอวีซ่าไทยกันเพียบ ส่วนใหญ่ก็จะมาทำงานโรงงานที่กรุงเทพฯ กันทั้งน้าน พี่สาวคนลาวเค้าบอกมาอีกว่า คนลาวเค้าชอบมาทำงานที่ไทย เพราะการอยู่การกินสบาย รายได้ก็แน่นอนมากกว่าอยู่แล้ว
คุยกับพี่สาวได้ซักพัก เราก็เลยขอตัวออกมาเดินเล่นต่อ เราเดินมาจนถึงวัดไซยาพูม (ชัยภูมิ) ก็ห่างจากแม่น้ำโขงไม่ไกลนัก เป็นวัดเก่าแก่เหมือนกัน และมีโรงเรียนสำหรับพระภิกษุที่นี่ด้วย









วัดที่ลาวจะมีอุโบสถหลายหลัง เท่าที่สังเกตนะคะ แต่ที่หลังนี่เราชอบประตูไม้แกะสลักคะ ดูขลัง สวยดี




อีกมุมหนึ่งของวัด ฟ้าดูครึ้มๆ สงสัยว่าฝนจะตก เมืองสะหวันนะเขตก็เมืองเงียบๆ แต่ถามว่าชอบไม๊ ชอบคะ แต่ว่าเทียบกับทางเหนือของลาว เราชอบทางเหนือมากกว่า





เดินมาอีกหน่อยก็จะมาเจอ วัดจีน ด้านในไม่ได้เข้าไป เพราะประตูปิด เราเดินเข้าไปแค่ในบริเวณสวนไม่เจอใครเลย ก็ขออนุญาตถ่ายรูปด้านนอกอย่างเดียว ( ขอกะใคร..หุหุ )




แค่ด้านหน้าอย่างเดียวก็ดูสวยดี เป็นวัดเล็กๆ ด้านหน้ามี เจ้าแม่กวนอิม ตั้งเด่น สวยมากเลย แต่ขอบอกที่นสะหวันนะเขตร้านขายส้มตำ ไก่ย่างหาง่ายมาก มีหลายที่




ที่นี่ก็จะเป็นวัดจีนแห่งที่ 2 คะ เดินจากแห่งแรกมาเล็กน้อย ที่สะหวันนะเขตก็จะมีส่วนที่เป็นเมืองเก่า ห้องแถวจีนเก่า สวยมาก แต่ที่ไม่ชอบคืน จะมีขอทานเดินขอเงิน พอเห็นเราไม่ว่าไกลแค่ไหน จะวิ่งตรงมาแล้วก็ตาม ดึงแขนเลยก็มี โอ.. แม่เจ้า แบบนี้ไม่ชอบเลย ถ้าคนพิการก็พอเข้าใจ แต่เท่าที่ดูที่นี่จะเป็นเด็ก อายุประมาณ 10-14 ปี ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แล้วพูดไม่ชัด จะวิ่งกรูดมาเลย



เราเดินต่อมาจนถึงวัดเหมือนกัน อิอิ วัดฝรั่ง อิอิ ก็เป็นโบสถ์คาโทลิกแห่งเดียวของสะหวันนะเขต ตั้งหันหน้าไปทางแม่น้ำโขง เราชอบโบสถ์มาก เพราะโตมากับโบสถ์มากกว่าวัด..อิอิ เรียนโรงเรียนคริสต์ ที่น่าอายมากเพราะความรู้เรื่องศาสนาพุทธมีน้อยมาก แต่ศาสนาคริสต์ก็ไม่ถึงกับรู้มาก แต่ว่าก็พอรู้มากกว่าพุทธซะอีก




ภายในก็เหมือนโบสถ์ทั่วไปที่เราเคยเห็น แต่ที่ชอบก็คือบันไดไม้ ที่สามารถเดินขึ้นไปถึงหอระฆังด้านบน แต่เราไม่ได้ขึ้นไป เพราะเราไม่เจอใครเลยอีกเหมือนกัน กลัวเดี๋ยวเค้าจะว่าบุกรุก อิอิ เราเห็นโบสถ์แล้ว ทำให้คิดถึง ตอนเด็กๆ จะชอบไปโบสถ์ วิ่งเล่น เดินเล่น โบสถ์นี่ดูสวยดี เป็นไงบ้างกับเมืองสะหวันนะเขต กับทริปทั้งหมดของเปรี้ยวที่ลาวใต้ เอามาอัพบล็อกให้ดูช้าไปหน่อย

วันที่ 2 ที่จำปาศักดิ์ : Champasak, South Laos 2009.

เช้าวันฝนพรำเราออกเดินตอนเช้า ก่อนเดินทางไปยังเมืองเซกอง ยังมีเวลาอีก 1 ชม.ในการเดินเที่ยวจำปาศักดิ์ รถเที่ยวแรกจะออกจากจำปาศักดิ์ 7 โมงเช้า เราเดินออกจากถนนเส้นหลักมาตามทางถนนดินลูกรังก็จะมาเจอ วังของเจ้าจำปาศักดิ์ที่สร้างไม่เสร็จ





แต่ด้วยสาเหตุใดจึงทำให้วังนี้สร้างไม่เสร็จก็ไม่อาจทราบได้ น่าเสียดายจัง





เดินผ่านวังมานิดเดียวก็จะเจอ วัดทอง หรือ วัดยุติธรรมฯ เณรน้อยเดินยิ้มมาแต่ไกล ท่าทางสำรวมมากๆ




วัดทอง แห่งนี้ก็ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นวัดที่มี สิม หรือ โบสถ์เก่าแก่ ก็คือหลังนี้แหละคะ ทรุดโทรมตามกาลเวลา แต่ที่เรียกว่ายอดฉัตรหรือเปล่า? ที่อยู่บนหลังคา เป็นศิลปะการแกะสลักไม้อย่างสวยงามและเป็นของเก่าดั้งเดิมเลยคะ




เห็นไม่ค่อยชัดรูปนี้ ถ่ายจากกล้องตัวเล็ก ต้องขออภัยหากรูปไม่สวย..อิอิ การเที่ยววัดในลาวก็สนุกดีเหมือนกัน เราชอบ ถึงแม้ว่าจะสวยสู้วัดที่บ้านเราไม่ได้ แต่ก็ได้ประสบการณ์อีกแบบที่ชอบมาก



ด้านในของอุโบสถหลังใหม่




หลังนี้หลังใหม่คะ ความสำคัญอีกอย่างของวัดนี้ คือ เป็นวัดที่มีการเก็บอัฐิธาตุ (กระดูก) ของราชวงค์จำปาศักดิ์ และเป็นที่เก็บกระดูกของเจ้ายุติธรรมธร เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์สุดท้ายและท่านก็ยังเป็นผู้ที่สืบสายสกุลโดยตรงจากราชวงศ์ล้านช้างแห่งหลวงพระบางคะ





บริเวณนี้ คือ ธาตุ หรือ ธาตุกระดูก ในภาษลาวคะ ที่นี่ก็จะเก็บธาตุของเจ้านายหลายองค์ และก็มีธาตุของ เจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์ (อดีตนายกรัฐมนตรีลาว) และที่เจอข้อมูลอีกเรื่องคือ เจ้ายุติธรรมธร ก็ยังเป็นต้นสกุล ณ จำปาศักดิ์ ที่ประเทศไทยด้วย เนื่องจากเมื่อลาวตกเป็นเมืองอาณานิคมของฝรั่งเศส เจ้าอุย และเจ้าเบงคำ โอรสของเจ้ายุติธรรมธร ไม่ต้องการตกอยู่ใต้บังคับของฝรั่งเศส ท่านจึงได้ลี้ภัย และได้เข้ารับราชการที่ประเทศไทย ในสมัยร.6 และในเวลานั้นเอง สมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จึงทรงโปรดเกล้าพระราชทานนามสกุล ณ จำปาศักดิ์ ให้คะ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกที วิกิพีเดีย คะ คงต้องเดินทางต่อแล้ว
สบายดี จำปาศักดิ์

ขี่จักรยานเที่ยววัดพู จำปาศักดิ์ : Wat Phu Champasak, South Laos 2009.

เราเดินทางมาถึงจำปาศักดิ์ประมาณ 11 โมงเช้า จึงตัดสินใจว่าจะไปเที่ยววัดพูเลยเพราะเอริเพื่อนร่วมทางอีกคนของเรา จะพักที่นี่แค่ 1 วัน เราก็เลยเช่าจักรยาน คนละ 10000 กีบ เป็นพาหนะในการเดินทาง วัดพูก็ห่างจากจำปาศักดิ์ ประมาณ 9 กม. ชิวๆ ไป--กลับ 18 กม. ( หุหุ ปลอบใจตัวเอง )




ระหว่างทางเจอพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ใต้ต้นไม้ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ สงสัยเหมือนกัน ระยะทางในการเดินทางไปวัดพู ดีที่ว่าไม่มีเนินเลย ปั่นรถจักรยานได้สบาย สงสารก็แต่สาวเอริที่มาเที่ยวกับคนแก่..หุหุ ปั่นจักรยานรอเป็นระยะๆ อิอิ กว่าจะมาถึงเล่นซะเหงื่อตก T_T



ปราสาทวัดพู ( Wat Phu ) แห่งนี้ก็จะมีค่าเข้าชมด้วยคะ คนละ 30000 กีบ ปราสาทวัดพู เป็นเทวสถานขอม คล้ายกับเขาพระวิหาร และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วตั้งแต่ปี 2545 โครงสร้างต่างๆ ของวัดพู ก็จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 จะมีบารายหรือสระน้ำและปราสาทที่ 1 สร้างในสมัยหลังแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่ลาวปกครองด้วยระบบกษัตริย์ และเจ้ามหาชีวิตเสด็จมาเพื่อนมัสการพระศิวะที่นี้ ซึ่งในสมัยก่อนการเดินทางสามารถมาได้ทางเดียว ก็คือ ทางเรือ สังเกตได้จากฐานปราสาทที่ยังเหลืออยู่


ส่วนทางเดินก็จะมีศิวลึงค์ ตั้งอยู่เรียงรายตามแนวทางเดิน และในส่วนที่ 2 ส่วนกลางจะพบปราสาทขอม 2 หลัง สร้างจากหินทราย แต่ตอนที่เปรี้ยวไปเค้าไม่ให้เข้าไปใกล้คะ ก็จะมีรั้วกั้นอยู่ ซึ่งในส่วนที่สองนี้ก็จะเป็นส่วนของเทวสถานเพื่อนมัสการบูชาเทพ ตามหลักศาสนาฮินดู และถ้าผ่านส่วนนี้ไปก็จะเห็น รูปแกะสลักขอมตั้งอยู่ ซึ่งคนลาวที่นี่เรียกว่า เจ้าที่ เป็นผู้ดูแลรักษาและป้องกันสิ่งชั่วร้าย

เรานั่งพักเหนื่อย ปล่อยให้เพื่อน 2 คนเดินต่อกันไปก่อน ขอนั่งพักถ่ายรูปก่อน เพราะในส่วนที่ 3 ต้องการพลังมากหน่อยกว่าจะตะกายขึ้นไปได้คงเหนื่อย เพราะต้องเดินขึ้นเขา







ทางเดินก็จะเป็นทางลาดและต่อด้วยบันไดชัน สองข้างบันไดก็จะมีต้นดอกจำปาลาว ( ต้นลีลาวดี ) เป็นแนวขึ้นไปตามบันไดเลยคะ ระหว่างเดินก็เจอลุงกะป้าจากประเทศจีน คุยกะเราเป็นภาษาจีน สงสัยจะถามว่ามาจากที่ไหน เราเลยมั่ว ตอบไปว่า ไทยแลนด์ ก็บอกมาโอๆๆ ไทยแลนด์ จากนั้นพี่ทั้งสามก็ซัดมาอีกชุดใหญ่ เหมือนว่าเราจะรู้เรื่อง พอมาถึงด้านบนได้ เราก็มองหาที่นั่งก่อน ตามหลังเรามาก็จะมีกลุ่มนักเรียนนานาชาติ น่าจะมาจากเมืองไทยเพราะมีเด็กผู้หญิงไทยด้วย ใส่กางเกงขาสั้นแบบสุดๆ กลุ่มนี้ ลูกเอยใส่ทำไมแบบนี้หนอ



พอหายเหนื่อยก็เดินหาเพื่อน..อิอิ และก็แวะไหว้พระด้านในปราสาท ปราสาทหลังนี้จะหลังเล็กกว่าหลังที่อยู่ข้างล่าง ด้านในจะมีพระพุทธรูป ส่วนด้านหน้าก็จะมีพี่สาวมาขาย มะเป้ง หรือ บายศรี อันละ 20 บ.คะ พร้อมธูป 3 ดอก แต่ไม่มีเทียน แปลกเนอะ พี่สาวเค้าก็เตรียมให้เราเรียบร้อย


ด้านนอกปราสาทคะ น่าจะมีการบูรณะในเร็ววันนี้เพราะเราเห็นเค้าเริ่มทำโครงไม้เอาไว้บ้างบางส่วน สงสัยว่าจะค้ำไว้ได้นานเท่าไร ถ้าไม่ทำเลย กลัวว่าจะล้มลงมา เหตุที่มีพุทธสถานเกิดขึ้นในบริเวณเทวสถานนั้น ตามประวัติสันนิษฐานว่า วัดพุทธ เกิดขึ้นภายหลังซึ่งน่าจะประมาณศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแถบนี้ จึงได้มีการสร้างวัดพุทธ แทนศิวลึงค์ และพี่สาวที่ขายดอกไม้บอกว่า เมื่อก่อนมีวัด และมีพระที่นี่ด้วย




ในบริเวณด้านบนนี้ก็จะมีส่วนที่เป็นเห็นแกะสลักรูปช้าง รูปจระเข้ ( Elephant, Crocodile Stone ) และภาพแกะสลักตรีมูรติ และถ้าเดินไปอีกหน่อยก็จะมีบ่อน้ำศักดิสิทธิ์ ที่คนลาวเค้ามีความเชื่อมาว่าขออะไรก็จะได้สมหวังและเอาน้ำล้างหน้าเพื่อเป็นศิริมงคล





ภาพมุมบน ที่วัดพูแห่งนี้ก็จะมีงานเฉลิมฉลองเป็นประจำทุกปี ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ใครสนใจก็สามารถมาได้ในช่วงนั้นคะ และวัดพูแห่งนี้ สันนิษบานว่าน่าจะสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 6-8 และอาจจะสร้างขึ้นก่อน นครวัดประมาณ 200 ปี และด้วยความคิดที่ว่าวัดพูอาจเป็นต้นแบบ ในการสร้างเขาพระวิหารในภายหลัง





ขอบคุณข้อมูลจากไกด์ชาวลาว และไกด์บุ๊ค lonely planet การเยี่ยมชม วัดพู ถ้ามาตอนเช้าจะดีมาก เรามาตอนบ่าย ร้อนมาก แต่ดีที่มีร่มไม้เป็นระยะ นั่งเล่น เดินเล่นที่วัดพู จนกระทั่งวัดปิด ปั่นรถจักรยานมานั่งที่ร้านค้าข้างหน้าต่อ เริ่มปั่นรถจักรยานกลับจำปาศักดิ์ก็ปาไป 5 โมงเย็น ถึงที่พักก็เกือบ 6 โมงเย็น ที่นี่สวยมาก ผู้คนน่ารัก แต่อินเตอร์เน็ตแพงมาก ชม.ละ 14000 กีบเลย ไปไหนต่อเดี๋ยวคราวหน้ามาโพสต์คะ

เดินทางไปจำปาศักดิ์ : Champasak, South Laos 2009.

เราเดินทางไปจำปาศักดิ์คะ มีแผนว่าจะไป วัดพู ( Wat Phu Champasak ) คะ วันนี้ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เดินมาถ่ายรูปที่สะพานก่อนเพราะตอนกลับจะไม่กลับมาทางนี้แล้ว สักพักเราก็กลับไปโรงแรมเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปจำปาศักดิ์





เช้านี้อากาศดี เมื่อคืนฝนตกตลอดทั้งคืนเลย กลัวมากกว่าเช้าจะเดินทางท่ามกลางสายฝนดีที่ฝนหยุดเราเลยเดินทางได้สบายขึ้นอีกหน่อย





Wat Tham Fai อยู่ใกล้กับโรงแรม จำปาศักดิ์ พาเลซ ในไกด์บุ๊คบอกว่ามีรอยพระพุทธบาทด้วย แต่เปรี้ยวหาไม่เจอ ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของวัด..หุหุ




ด้วยเวลาที่มีอันน้อยนิด เพราะต้องรีบกลับไปที่โรงแรม พอถึงก็รีบเก็บของ แล้วก็จ้างรถตุ๊ก ตุ๊กไปที่ท่ารถ ค่ารถจ่ายไปคนละ 10000 กีบ




เราเดินหารถอยู่นานจนกว่าจะรู้ว่ารถที่ไปจำปาศักดิ์ออกไปแล้ว แต่ถ้าจะรอเที่ยวต่อไปก็ต้อง 10 โมงครึ่ง เราจึงเดินทางด้วยรถ ปากเซ - วังม่วง คนละ 10000 กีบ พอไปถึงก็นั่งเรือข้ามไปอีกที






เก็บสัมภาระที่รถเรียบร้อย ก็มาเดินตลาด แตงกวาลูกใหญ่มาๆ อ่ะ ไม่เคยเห็นใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เดินมาเจอไก่ย่างคะ อดอยากกินไม่ได้ก็เลยซื้อ 1 ไม้+ข้าวเหนียว 9000 กีบ





กบเป็นๆ จ้า ราคากิโลละ 40 บ. ราคาคนไทยอีกเหมือนกัน อิอิ






ไก่ดิริเวอรี่คะ มีเป็ด ห่าน ด้วยขายกันเป็นตัวๆ เลย ใครซื้อก็จับมัดขา ขายกันแบบง่ายๆ





มาถึงบ้านวังม่วงแล้ว ฝั่งตรงข้ามนู้น คือ บ้านจำปาศักดิ์ ใกล้แล้ว ค่าเรือ คนละ 5000 กีบ เจอเพื่อนร่วมทางเป็นสาวน้อยชาวญี่ปุ่น ชื่อ เอริ คุณเธอใส่ผ้าถุงลาวเที่ยวคะ น่ารักมาก





เราข้ามฝั่งมาที่จำปาศักดิ์ แล้วก็เดินต่อ คุณเอริ เธอก็เดินมาด้วยกัน แถมบอกว่าไม่มีปัญหาเพราะวันนี้เดินมาแล้วประมาณ 5 กิโลเมตร จากท่าเรือที่ริมโขงเดินไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร พวกเราก็มาถึงที่ เฮือนพักดอกจำปา ห้องสะอาดใช้ได้ มีห้อง 4 ห้องเท่านั้น ราคาคืนละ 30000 กีบ แต่ต้องบอกก่อนว่า ที่บ้านพักน้ำจะไม่ไหลตั้งแต่ 5 ทุ่มถึง 6 โมงเช้าคะ ที่นี่น่ารักดี เราอาศัยอยู่กับครอบครัวเจ้าของเลย และมีร้านอาหารด้านหลังติดแม่น้ำโขงเลย สะดวกมากๆ แนะนำเลยคะ