แบกเป้เที่ยวฮานอย ตอน วัดหง็อกเซิน : Ngoc Son Temple, Hanoi

วัดหง็อกเซิน ตั้งอยู่ที่เมืองฮานอย ประเทศเวียดนามคะ ก็เป็นวัดเล็กๆ ถ้าใครมีโอกาสมาที่ฮานอย ต้องขอแนะนำว่าอย่าลืมมาเที่ยวที่วัดนี้นะคะ เปรี้ยวมาเวียดนามครั้งแรก เตรียมตัวเต็มที่ และก็ได้มีโอกาสสัมผัสชีวิตของคนที่นี่นานถึง 3 สัปดาห์ เปรี้ยวเข้าพักที่ย่าน Old Quarter เพราะสะดวก มีโรงแรมให้เลือกมาก โรงแรมที่เปรี้ยวเลือกพัก ราคาคืนละ 20 USD โดนโกงตอนจ่ายเงินไปอีก 10 USD ขอบอกว่าคุณต้องตรวจสอบบิลเงินสดให้ดีนะคะ เปรี้ยวไม่ได้ดูก็เลยโดนไปโดยดี เถียงไม่ทันคะ ก็เลยต้องเลยตามเลย


วัดหง็อกเซิน ( Ngoc Son Temple ) มองไกลๆ ก็จะเห็นสะพานโค้งสีแดง ( Huc Bridge-Rising sun) ทางเข้าไปสู่วัด ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1885 วัดนี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบ Hoan Kiem หรือ ทะเลสาปคืนดาบที่คนไทยรู้จัก วัดก็จะเปิดให้เข้าชมเวลา 8.00-17.00 น. ค่ะ วัดนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แม่ทัพ Tran Hung Dao ซึ่งเป็นผู้ที่ปราบกองทัพมองโกลได้ ในราวศตวรรษที่ 13 และยังอุทิศให้อีก 2 ท่านคือ Van Xuong, LaTo ซึ่งเป็นผู้ที่ทำความดีให้ประชาชน

ตอนแรกเปรี้ยวก็ไม่ทราบคะ เห็นคนถ่ายรูปเต่ากันใหญ่ เจอกรุ๊ปคนไทยที่มาเที่ยว พี่ๆ เค้าบอกว่ามาสักการะรูปเต่าศักดิ์สิทธิ์เป็นเต่าตัวโตๆ และ ท่านแม่ทัพ Tran Hung Dao จนกว่าจะได้คำตอบ คนก็มุงเต็มเลยคะ ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู












วัดหง็อกเซิน ก็จะตั้งอยู่ตรงข้ามกับอนุเสาวรีย์ Martyrs' Monument ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับคนที่ต่อสู้ เพื่อให้เวียดนามได้รับอิสรภาพ


แบกเป้เที่ยวสีหนุวิว : Sihannouk ville, Cambodia

เราเดินทางจากพนมเปญ ตอนเช้าโดยรถบัส 9.00 น. มายังสีหนุวิว การเดินทางเป็นไปแบบฉุกเฉินไม่ได้วางแผนการเดินทางมาก่อน ไม่รู้จะไปไหนจะแวะนครวัด ก็สงสัยจะแพง ก็เลยมาที่สีหนุ วิว แทน มาถึงที่นี่ก็น่าจะประมาณบ่าย 2 โมงได้ เราหาที่พักริมหาด ชื่อ Markara Guesthouse คะ ราคา 15 USD ก็สะอาดใช้ได้ ที่ชอบคือ แค่เดินข้ามถนนก็ถึงหาดทรายเลย ชื่อของเมืองนี้ก็แน่นอนมาจากพระนามของ สมเด็จนโรดมสีหนุ ที่ทรงประทานให้ แต่ชื่อเมืองเคยเปลี่ยนไปเป็น Kompong Som แต่มาในปี 1993 ก็เปลี่ยนกลับมาเป็น สีหนุ วิว เหมือนเดิม
ร้านค้าริมหาดก็มากพอสมควรน่าจะคล้ายบางแสนหรืออาจจะเล็กกว่าไม่แน่ใจ ที่นี่เท่าที่สังเกตดูก็นับว่าเป็นที่นิยมมาท่องเที่ยวของชาวเขมรเลยทีเดียว เพราะวันที่มาถึงเป็นวันศุกร์พอดี คนเยอะพอสมควร








อาชีพที่น่าสนใจที่เราเจอที่นี่ คือ รับจ้างถ่ายรูปแบบนี้ค่ะ บังเอิญเราไม่ได้ถามว่าราคาใบละเท่าไร บังเอิญวัวมันเดินมาข้างหลัง แถมมันยังจะมากินผ้าคลุมเราอีกPhotobucket กลัวก็กลัว วุ่นวายกะมันอยู่สักพัก พี่แกเห็นก็ช่วยไล่วัวให้ คงคิดคนอะไรหว่า? กลัววัว ก็เลยคุยกันเรื่องอื่นไปซะอีก แก้เขิน อิอิ




ร้านขายเครื่องปั้นดินเผาค่ะ มีหมด หม้อ ไห จานชาม ไม่เห็นเกวียนแบบนี้นานมากแล้ว จำไม่ได้ว่า เห็นครั้งสุดท้ายอายุกี่ขวบ อุ้ย!!! แบบนี้ก็รู้อายุอะดิ... มาคุยเรื่องสีหนุ วิว ต่อดีกว่า จนกระทั่งปี 1950 อเมริกาบริจาคเงินเพื่อสร้างถนนจากสีหนุ วิว ถึง กรุงพนมเปญ ต่อมาปี 1960 จึงเริ่มมีนักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางมาเที่ยวที่นี่ แต่เขมรเป็นประเทศที่น่าเหลือเชื่ออีกประเทศหนึ่ง คือ เท่าที่เปรี้ยวทราบมา ถนนหลายสายของกัมพูชา ล้วนแล้วแต่มีชาติต่างๆ จ่ายเงินสร้างให้ เช่น อเมริกา จีน ญี่ปุ่น และรวมถึงประเทศไทยด้วยคะ


แบกเป้เที่ยวพนมเปญตอนสุดท้าย : Phnom Penh

มาถึงพนมเปญแล้ว ที่เที่ยวก็มีให้เลือก แต่จะออกแนวสงคราม ซึ่งไม่ไหวสำหรับเปรี้ยวคะ บางคนบอกต้องไปดู Killing Fields บังเอิญไม่ใช่ฟีวเราจริงๆ เปรี้ยวก็เลยเลือกเดินเดินดูเมืองมากกว่าอย่างที่แรกที่น่าสนใจ ก็พิพิธภัณฑ์ ( The National Museum of Cambodia ) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1917-1920 คะ ของที่ตั้งแสดงส่วนใหญ่ก็พวกรูปปั้น, รูปแกะสลักสมัยขอม ของที่เก่าที่สุดก็เห็นจะเป็นรูปแกะสลักพระวิษณุ อายุราว 600-700 ปี มีรูปเฉพาะด้านนอกนะคะ





วัดพนม ( Wat Phnom ) เป็นแห่งที่ 2 ที่เปรี้ยวแวะมา เป็นเจดีย์ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้น ปี ค.ศ. 1373 ค่ะ มีเรื่องเล่าว่าผู้หญิงชื่อ เพ็ญ ( Penh ) เป็นผู้ค้นพบ ( อันนี้จะเกี่ยวกับชื่อเมืองหลวงรึเปล่า? ไม่แน่ใจ ) แต่ที่สำคัญนอกเหนือจากความเก่าแก่ ก็คือ ผู้คนที่แวะเวียนมากราบไหว้ขอพร เชื่อว่าเรื่องโชคลาภ, ความสำเร็จในเรื่องการเรียน ธุรกิจ การงาน ของถวายก็ต้องมาลัยดอกมะลิและกล้วยค่ะ ข้อมูลที่ได้ก็ถามเค้ามาอีกที ส่วนที่เหลือก็ตามใจชอบเลยก็แล้วกันว่าใครอยากขออะไร โดยรอบวัดก็ร่มรื่นดี แต่ที่นี่จะมีขอทานเด็กตัวเล็กๆ นะคะ ที่วิ่งตามขอตังค์กันเลย เพราะเค้าจะรุมแบบหลายๆ คน ต้องระวังคะ
ที่พนมเปญมีตลาดขายของ เดินดู เพลินมากๆ เราเดินดู 3-4 ตลาดก็สนุกคะ มีตลาดเล็ก ตลาดใหญ่ แต่เราว่าที่คนไทยรู้จักก็ต้อง ตลาด Psar Thmei ตลาดใหญ่มาก รูปโดม เสียดายที่เปรี้ยวไม่ได้ถ่ายรูปมา เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของกรุงพนมเปญเลยคะ ของขายเยอะ และตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่ารถเท่าไร เดินได้สบายๆ




เปรี้ยวจบการเดินทางที่พนมเปญเท่านี้คะ ประเทศกัมพูชา ในมุมมองของเราเมื่อก่อนที่ไม่เคยมาจะรู้สึกว่าเป็นเมืองที่น่ากลัว สกปรก และคงจะล้าสมัยมากๆ เลย แต่เท่าที่มาก็ทำให้ทราบในหลายเรื่อง กัมพูชามีความสัมพันธ์ที่เปราะบางมากๆ กับประเทศไทย แต่คนเขมรก็ใช่ว่าจะร้ายทุกคน ดูแล้วคนเค้าก็ออกจะน่าสงสาร ถูกเอาเปรียบจากคนเขมรด้วยกันเอง อาจเป็นแบบนี้ก็เลยทำให้เค้าก็กลัวว่าเราจะเอาเปรียบ เราเจอเพื่อนชาวสิงค์โปร์ เค้าบอกว่า คนเขมรเอาเปรียบมากๆ การเดินทางไม่สบายเท่ากับมาเที่ยวเมืองไทย เราก็คิดว่าอย่างงั้น ที่ไหนก็ไม่สนุกเท่ากับบ้านเรา อิอิ


เดินเที่ยวพระบรมมหาราชวัง : The Royal Palace, Phnom Penh

ช่วงที่พักอยู่ที่เขมรนั้น เรานอนตื่นสายมาก เป็นการพักผ่อนที่ได้ใจจริงๆ ถ้าพูดถึงเขมร พี่คนหนึ่งบอกว่าต้องมาดูวิหารวัดพระแก้ว ทำให้เราสงสัยเป็นอย่างมากๆ เลยอยากมาเห็นว่าเป็นยังไง จากที่พักก็เดินมาถึงที่พระบรมมหาราชวัง ( The Royal Palace ) ที่นี่ก็เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 7.30-11 โมงเช้า และตอนบ่าย 2.30 - 5 โมงเย็น ก็มีกฎคล้ายๆ กับบ้านเรา คือ ห้ามใส่กางเกงขาสั้น เสื้อที่ไม่มีแขน เรามาถึงตอน 9 โมงเช้า อากาศร้อนนิดหน่อย พี่ฝรั่งเข้าคิวกันเพียบ บางคนก็เตรียมซื้อผ้าถุง เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้า

"วัดพระแก้ว" หรือ Silver Pagoda ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะวัสดุที่ใช้ปูพื้นค่ะ เป็นแผ่นเงินน้ำหนักกว่า 1 กิโลกรัมทุกแผ่น ใช้ทั้งหมด 5000 แผ่น วัดเดิมสร้างขึ้นครั้งแรกด้วยไม้ในปี 1892 จนกระทั่ง ปี 1962 สมเด็จพระนโรดม ทรงโปรดให้สร้างขึ้นใหม่ โดยพระองค์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัดพระแก้วที่กรุงเทพมหานคร แต่ยังไงก็คงไม่เหมือนวัดพระแก้วของเราใช่มั้ยคะ มีรูปเฉพาะข้างนอกเพราะเค้าห้ามถ่ายรูปคะ ของที่นำมาแสดงก็ไม่มาก ถ้าจะมากก็คงที่พิพิธภัณฑ์ แต่เปรี้ยวคิดว่า ฝรั่งเศสก็คงขนย้ายไปมาก และก็คงสูญหายในช่วงสงคราม ถ้าเทียบกับพระบรมมหาราชวังที่กรุงเทพก็คงเทียบไม่ได้ แต่กับการมาเที่ยว ก็ถือว่าดี แต่ที่เราชอบก็ออกจะเป็นภาพเขียนมากกว่าที่ดูสวยไม่มีการเขียนซ้ำ บอกให้รู้ถึงการทำงานของช่างโบราณเลย ว่าเค้าทำงานออกมาได้ดีขนาดไหน





บ้านหลังนี้พระเจ้านโปเลียนที่ 3 จากฝรั่งเศสทรงพระราชทานให้เป็นของขวัญ


La epopeya de Ramayana es representada en un hermoso. creado alrededor 1900.
ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ดูน่าทึ่งมากๆ คาดว่าวาดขึ้นราวปี 1900 เลยนะ ภาพทั้งหมดมาจากเรื่อง รามเกียรติ์หรือ Reamker ในภาษาเขมรค่ะ











แบกเป้เที่ยวพนมเปญ: Phnom Penh, Cambodia

เปรี้ยวมีโอกาสมาเที่ยวเขมร หรือ ประเทศกัมพูชา เพื่อนบ้านกับประเทศไทย เมื่อครั้นเดินทางไปเที่ยวที่เวียดนามและนึกสนุกจากกลับเมืองไทยด้วยรถบัส หาข้อมูลมาสามารถเดินทางเข้ามาได้หลายเส้นทาง แต่เปรี้ยวเลือกเข้ามาทางจ.ตราด เราเดินทางจากโฮจิมินท์ซิตี้ด้วยรถบัส ออกเดินทางเวลา 8.30 น. ผ่านด่านที่ Moc Bai เสียค่าวีซ่า 12 USD เราไม่ต้องยุ่งยากเลยเพราะเป็น International Bus เค้าก็จะจัดการเรื่องวีซ่าให้หมด เสียเวลารอนิดหน่อยเท่านั้น มาถึงพนมเปญตอนบ่าย แปลกมากมาถึงฝนตกหนักเลย นั่งร้อนสักพักก็หาย ร้อนเหมือนเดิม ตั้งใจจะพักที่ริมแม่น้ำ บรรยากาศน่าจะดี เรานั่งรถตุ๊กๆ ต่อไปที่โรงแรม Lyon d'or คนขับรถตุ๊กๆบอกว่ารู้จัก เราก็นั่งถ่ายรูปอย่างเดียว ถ่ายรูปนี้มาสีสันแห่งพนมเปญ มาถึงโรงแรมตกลงราคากันได้ 20 USD ติแต่เรื่องห้องเล็กอย่างเดียว แต่ห้องสะอาดอยากได้ห้องราคาถูกกว่านี้ แต่เหนื่อยแล้วพักที่นี้ เก็บกระเป๋าแล้วเดินเล่นก่อนแล้วค่อยหาอาหารลงท้อง ที่พนมเปญขอทานเด็กกับคนพิการเยอะมากเดินขอในร้านอาหารเลยทีเดียว อีกอย่างที่เห็นมีเยอะก็คือ กลุ่มนักเก็บขยะ ที่เยอะพอๆกับกรุงเทพฯเลยทีเดียว


หลวงพี่ยิ้ม นั่งได้ไงตั้ง 3 คน มอไซด์คันเล็กนิดเดียว

อีกมุมหนึ่งของพนมเปญ







โปสเตอร์หนังเก่า คุ้นๆ หนังไทยนี่นา แต่เราไม่รู้จักว่ามันเรื่องอะไร พอได้เวลาอาหาร เรามองไว้แล้ว วันนี้กินพิซซ่าดีกว่า แค่ 4 USD ถูกกว่าเมืองไทยอีก แบบว่า..ต้องยอมรับว่าเดินหาอาหารพื้นเมืองแล้ว คิดว่าตัวเองต้องกินไม่ได้แน่ๆ วันนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศเลยที่เดียว เพราะที่เวียดนามกินเฝอ เกือบจะทุกวัน ก่อนไปที่ร้านพิซซ่า เราก็แวะซื้อเสื้อยืด 2 ตัว ราคา 3 USD คุณภาพใช้ได้ เปรี้ยวตัดสินใจพักที่กัมพูชา 2 คืน แล้วจึงเดินทางต่อ



แบกเป้เที่ยวซาปา ตอนสุดท้ายค่ะ : Sapa, Vietnam

ทริปนี้เราอยู่ที่ซาปาทั้งหมด 5 วัน หมอกตกเยอะเกือบทุกวัน รู้สึกเหมือนฝนตกเลย เสื้อชื้นๆ เดินตลาดทิ้งท้ายเมืองซาปา ตลาดก็จะเปิดขายของทุกวันคะ ก็ขายของที่ระลึกทั่วไปและของนำเข้าจากประเทศจีน ราคาก็หวังฟันนักท่องเที่ยวน่าดู แต่สำหรับคนที่ต่อรองเก่งๆเราว่าไม่มีปัญหา แต่เราสอบตกก็ได้แต่เดินดู แต่จะหยิบจับอะไรไม่ได้เลย จะเจอแม่ค้าแนวยัดเยียด Photobucket เปรี้ยวก็เลยเดินดูอย่างเดียว แต่ก็ยังไม่วายได้ผ้าพันคอมา 1 ผืน 60 บ. อันนี้ชอบใจ ราคาถูกด้วย แต่เปรี้ยวจะชอบดูของที่ชาวเขา เค้าเอามาขายมากกว่า





ร้านขายผลไม้จ้า เราแอบดูสาวเจ้านั่งเช็ดเท้า พอเสร็จพี่แกปลอกสับปะรดต่อเลยอ่ะ Photobucket อุ้ยๆ ไปดีกว่าไม่อยากดูว่าใครซื้อมั้ง 555






สาวม้งมีเยอะมาก สาวเผ่าอื่นไม่ค่อยเห็น



Handmade ของจริง ทำไปขายไป



อีกมุมหนึ่งของซาปา





ห้างสรรพสินค้าเคลื่อนที่ เปรี้ยวปิดท้ายทริปซาปา ด้วยความบังเอิญเดินมาเจอสาวม้งคนนี้น่ารักมากขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเอาชุดม้งที่บ้านมาให้เรา พร้อมขายกำไลเงินที่สาวเจ้าใช้มานานแล้วให้เราอีกต่างหาก ของเก่าเราชอบ Photobucket เปรี้ยวก็เลยตกลงซื้อทั้งสองอย่าง คือ ชุดม้งตัวใหม่+กำไล ในราคา 20 USD สนุก สุขใจเหลือเกิน ชอบม๊ากมาก ซาปา







แบกเป้เที่ยวซาปา ตอนที่ 2 เดินเที่ยวหมู่บ้านม้ง : Black H'mong in Sapa

อยู่ที่ซาปา รองเท้าเปรี้ยวสึกได้ใจมาก เดินที่ซาปา จนรองเท้าสภาพทรุดโทรมน่าเกลียด วันนั้นจำได้ว่าเราตื่นนอนสายมากๆ อากาศดีมาก เรามีแผนจะเดินเที่ยวที่นี่ โดยเลือกเส้นทางเรียบร้อยคือ หมู่บ้าน ตาวาน ( Ta Van ) เราเริ่มเดินจาก ซาปาประมาณบ่ายโมง จริงแล้วมีรถมอเตอร์ไซค์ให้เช่า หรือ มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็มี แต่ต้องต่อรองราคาให้ดี แต่สำหรับเราฟิตมาก เดินแต่มีแผนว่าตอนกลับไม่ไหวก็จะหารถรับจ้าง คิดว่าคงไม่ลำบากเท่าไร เรามีอาการมึนหัวนิดหน่อย อาจเกิดจากการไม่เคยอยู่บนที่สูงระดับ 1000 เมตรแบบนี้ แต่ก็ดีที่เป็นไม่มาก เรามีแผนเดินจากหมู่บ้านตาวาน เดินไปเรื่อยผ่านประมาณ 5 หมู่บ้าน ระยะทางคำนวณเอาเอง น่าจะประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร



นาขั้นบันได เหมือนทางภาคเหนือของบ้านเราเลยเนอะ





ทางเข้า หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านม้ง ( Black H'mong ) เจอสองสาวพี่แกก็เล่นถามว่าจะซื้ออะไรดีมีทั้งย่าม ปลอกหมอน เพียบ แต่เราก็บอกว่า ขอเดินก่อน เสร็จแล้ว ค่อยซื้อ


ทำนาแบบดั้งเดิม ที่เมืองไทยไม่เห็นนานแล้วนะ เห็นแต่ควายเหล็ก หุหุ เดี๋ยวนี้มีโรงเรียนสอนควายไถนาด้วย ประเทศไทยเลิกใช้หลายสิ่ง หลายอย่างที่ดีๆ ที่ปู่ย่าตายายฝากไว้ให้ไปตั้งเยอะ น่าเสียดาย



เดินมาเจอพี่ฝรั่งโดนสาวย้าวรุมให้ช่วยซื้อของ เราก็เลยแวะถามขอซื้อผ้าคลุมผมสีแดง พี่แกวิ่งกลับไปเอามาจากที่บ้าน พอมาถึงบอกว่าของใช้แล้ว สภาพดี เราก็เลยตกลงซื้อในราคา 15 USD ใช้แล้วจริงๆ เพราะพิสูจน์ได้จากกลิ่น 55555Photobucket




สาวเจ้า น่ารักมากถอดตุ้มหูขายให้เลย เราก็เลยซื้อมา คู่ประมาณ 600 บ. ก่อนจ่ายตังค์เลยถ่ายรูปก่อน แถมเก่าได้ใจเปรี้ยว ชอบ ก็นับว่าเป็นทริปที่น่าประทับใจ ตอนขากลับเราเดินกลับไม่ไหว เลยนั่งมอเตอร์ไซค์กลับ วันนี้เดินร่วม 10 กม.ได้ ตามแผนที่วางไว้ กลับมาถึงซาปาก็ 4 โมงเย็นพอดี ก็กลับที่พักอาบน้ำ จากนั้นมีนัดรับประทานอาหารค่ำที่ร้าน Little Sapa เป็นร้านเดียวที่เปรี้ยวฝากท้องไว้ตลอดช่วงที่พักที่นี่ ร้านน่ารักมาก ชอบ





แบกเป้เที่ยวซาปา, เวียดนามเหนือ : Sapa, North Vietnam

เป็นที่ๆ ประทับใจมากๆ อีกที่นึงคะ เราเดินทางมาที่ ซาปา การเดินทางในครั้งนี้เริ่มต้นเดินทางจากฮานอยด้วยรถไฟ แต่เราสิดันหยิ่งไม่ง้อบริษัททัวร์ ซื้อตั๋วเองที่สถานี Photobucketโอ้ พระเจ้าได้ตู้นอนก็จริงแต่เก่ามากๆ ที่นอนมีกลิ่นอีกต่างหาก แต่ดีที่มีถุงนอนช่วยชีวิต เดินทางจากฮานอยทั้งคืน มาถึงลาวไก ประมาณตี 5 เมืองนี้อยู่ติดกับประเทศจีนคะ และเคยเป็นสมรภูมิรบ ระหว่างชาวเวียดนามและชาวจีน จากนั้นต่อรถตู้ไปที่เมืองซาปา ทางก็ค่อนข้างคดเคี้ยวพาให้ชวนมึนหัวเหมือนกัน เดินทางไม่นานก็ถึงเมืองซาปา ตัดสินใจพักที่เกส์เฮ้าส์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ โบสถ์ เพราะว่าไม่ได้จองโรงแรมที่ไหนไว้ บังเอิญเจอพี่สาวเจ้าของ เก้สต์เฮ้าส์เป็นตึกเล็กๆ ชั้นล่างเป็นร้านอินเตอร์เน็ต ห้องเล็ก ห้องน้ำก็สะอาดดี มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วย ราคา 10 USD ต่อคืน ( 350 บ.) พอมาถึงก็รีบเก็บกระเป๋า, อาบน้ำเรียบร้อยก็เริ่มเดินดูเมือง อยากถ่ายรูป วันที่ไปถึงตรงกับวันอาทิตย์ของเดือนเมษายนพอดี สาวๆ จากเผ่าต่างๆ เค้าก็เตรียมจะเข้าโบสถ์กันจ้าPhotobucket
เมืองซาปา อยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1500 เมตร ผู้คนที่อยู่ที่นี่ก็ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาทั้งนั้น เมืองสวย อากาศดี หมอกที่นี่เหมือนฝนเม็ดเล็กๆเลย เท่าที่ทราบนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยมาที่นี่กันพอสมควร และน่าจะเป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นอย่างดีนะเราว่า












เห็นที่เค้าหมุนอะไรสักอย่างในมือ เห็นผู้หญิงหลายคนทำ ก็เลยถาม แล้วก็ได้คำตอบว่าเป็นเปลือกไม้ของพืชชนิดหนึ่งเมื่อหมุนจนเป็นเส้นเรียบๆก็นำไปย้อมสีแล้วก็นำมาปักเป็นลาย เหมือนผ้าที่แขวนอยู่ข้างหลัง ลองถามราคามาก็แพงเหมือนกัน วันแรกที่มาถึงเราก็เดินต่อหาแผนที่เมืองเลยค่ะ เพราะคิดว่าจะเดินเที่ยวสัก 1 วัน และเราก็ตัดสินใจพักที่นี่ 1 สัปดาห์ ขอบอกว่าที่นี่อากาศหนาว จำได้ว่าตอนที่ไปเป็นเดือนเมษายน ที่เมืองไทย ร้อนตับแตก แต่เราหนีร้อนไปซาปา ชอบใจมากๆ อากาศก็ดี